ทนายความจังหวัดพิจิตร ทนายธีรภัทร.com  083 166 5803 

ทนายความจังหวัดพิจิตร ทนายธีรภัทร.com  083 166 5803 

เปิดหน้าต่อไป

รู้กฎหมาย รู้จักทนาย ไม่เสียเปรียบ

หัวข้อรู้กฎหมาย ไม่เสียเปรียบ

  • กฎหมายครอบครัว
  • กฎหมายมรดก
  • กฎหมายที่ดิน
  • กฎหมายเช่าซื้อ
  • กฎหมายอาวุธปืน
  • กฎหมายแรงงาน
  • กฎหมายจราจร
  • กฎหมายหมิ่นประมาท

หัวข้อรู้จักทนาย ไม่เสียเปรียบ

  • ทนายความกรุงเทพมหานคร
  • ทนายความภาคกลาง
  • ทนายความภาคเหนือ
  • ทนายความภาคอีสาน
  • ทนายความภาคใต้
  • ทนายความภาคตะวันออก
  • ทนายความภาคตะวันตก


กฎหมายครอบครัว ตอนที่ 1

กฎหมายครอบครัว

1. อยากมีคู่ต้องดูอายุด้วย

2. การหมั้นคืออะไร

3. การหมั้นสามารถบังคับให้อีกฝ่ายจดทะเบียนสมรสได้หรือไม่

4. สินสอด

5. เงื่อนไขการสมรส

6. การสมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายต้องทำอย่างไร

7. การจดทะเบียนสมรสซ้อนมีผลอย่างไร

8. ทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยา

9. สินสมรสคืออะไร

10. การแบ่งสินสมรส

11. สินส่วนตัวคืออะไร

12. หนี้ต้องรับ ทรัพย์ต้องแบ่ง

13. การมีบุตรที่พ่อแม่ไม่ได้จดทะเบียนกัน

14. การรับบุตรบุญธรรม

15. สิทธิของผู้รับบุตรบุญธรรม

16. สิทธิของบุตรบุญธรรม

17. การเป็นบุตรบุญธรรมที่ชอบด้วยกฎหมาย

18. ชื่อสกุลนั้นสำคัญไฉน

19. ความผิดฐานทิ้งลูก

20. ความผิดฐานแท้งลูก

21. ความรุนแรงในครอบครัว

22. สามีภริยาทำร้ายร่างกายกัน

23. ความผิดต่อชีวิต

24. นาง-นางสาว เลือกได้มั้ย

25. โทษทางอาญา ระหว่างสามี-ภรรยา เกี่ยวกับทรัพย์

26. นกเขาไม่ขันฟ้องหย่าได้หรือไม่

 

1. อยากมีคู่ต้องดูที่อายุด้วย (1 of 26)

หนุ่มสาวหรือวัยรุ่นมักใจร้อนอยากจดทะเบียนสมรสกันเร็วๆ แต่ในทางกฎหมายได้กำหนดเงื่อนไขเอาไว้ว่า ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงจะต้องมีอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์ จึงจะทำการสมรสกันได้ เว้นแต่มีเหตุอันสมควรก็ขอให้ศาลสั่งให้สามารถสมรสกันได้ ตัวอย่างเช่น นายเอกับนางสาวบี ทั้งคู่อายุ 15 ปี ทั้งสองรักกันมากและต้องการจดทะเบียนสมรสกันแต่ไม่สามารถทำได้เพราะกฎหมายไม่อนุญาต ในทางกลับกัน สมมุติว่านายเอกับนางสาวบีเกิดได้เสียกันและนางสาวบีได้ตั้งท้อง บิดาและมารดาของทั้งสองฝ่ายจึงต้องไปร้องขออนุญาตจากศาลให้ทำการสมรสกันได้ เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1448

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

                                                    ***************************************

 

2. การหมั้นคืออะไร (2 of 26)

การหมั้น ในความเข้าใจของประชาชนทั่วไป หมายถึง การจองตัวไว้ก่อนที่จะมีการแต่งงานกัน หรือสมรสกันตามกฎหมาย แต่กฎหมายบัญญัติให้การหมั้นจะมีผลตามกฎหมายได้ การหมั้นนั้นจะกระทำได้เมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปี บริบูรณ์ขึ้นไปเท่านั้น หากการหมั้นฝ่าฝืนโดยที่ชายหญิงที่หมั้นกันมีอายุไม่ถึงสิบเจ็ดปี การหมั้นนั้นตกเป็นโมฆะ และการหมั้นนั้นจะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองด้วย ซึ่งอาจเป็นพ่อ แม่ หรือผู้มีอำนาจปกครองขณะนั้น ส่วนของหมั้นจะต้องมีการส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้หญิงคู่หมั้นขณะที่ทำการหมั้นด้วย โดยฝ่ายชายเป็นผู้ส่งมอบของหมั้นเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น หากส่งมอบให้ภายหลังการหมั้นไม่ถือว่าเป็นของหมั้น ทั้งนี้เป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1435 มาตรา 1436 และมาตรา 1437 และเมื่อหมั้นแล้วให้ของหมั้นตกเป็นของหญิงทันที

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

                                                           ***************************************

 

3. การหมั้นสามารถบังคับให้อีกฝ่ายจดทะเบียนสมรสได้หรือไม่ (3 of 26)

กรณีเมื่อมีการหมั้นแล้ว หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ยอมสมรส อีกฝ่ายหนึ่งจะเรียกร้องให้ทำการสมรสด้วยไม่ได้ เพราะเหตุว่า การสมรสนั้นต้องเป็นการยินยอมที่จะอยู่กินฉันท์สามีภรรยากันด้วยความเต็มใจ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1438 ที่บัญญัติว่า การหมั้นไม่เป็นเหตุที่จะร้องขอให้ศาลบังคับให้สมรสได้ แต่อย่างใดก็ดี ฝ่ายที่ผิดสัญญาไม่ทำการสมรส อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทน รวมทั้งหากฝ่ายหญิงผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1439

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

                                                         ***************************************

 

4. สินสอด (4 of 26)

สินสอด หมายถึง ทรัพย์สินที่ฝ่ายชายให้แก่พ่อ แม่ หรือผู้รับบุตรบุญธรรมหรือผู้ปกครองฝ่ายหญิง เพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรส เป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1437 ดังนั้น สินสอดเป็นทรัพย์สิน เช่น เงิน ทองคำ หรืออาจเป็นทรัพย์สินอย่างอื่นที่ฝ่ายชายให้แก่พ่อ แม่ หรือผู้ปกครองหรืออาจเป็นผู้รับบุตรบุญธรรมของฝ่ายหญิง เป็นการตอบแทนที่ให้หญิงนั้นยอมสมรสกับตนเอง แต่เมื่อทำการหมั้นแล้ว หากฝ่ายหญิงไม่ทำการสมรสกับฝ่ายชายโดยผิดสัญญาหรือมีเหตุการณ์หรือพฤติการณ์บางอย่างที่ฝ่ายหญิงต้องรับผิด ทำให้ฝ่ายชายไม่ควรสมรสกับฝ่ายหญิง ฝ่ายชายสามารถเรียกสินสอดคืนได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1437 วรรคสอง และวรรคสามบัญญัติเอาไว้

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

                                                        ***************************************

 

5. เงื่อนไขการสมรส (5 of 26)

การสมรส กฎหมายกำหนดเงื่อนไขไว้หลายประการ เช่น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1448 บัญญัติไว้ว่า การสมรสจะทำได้เมื่อชายและหญิงนั้นมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว แต่ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร ศาลอาจอนุญาตให้ทำการสมรสได้ ดังนั้น การสมรสจะกระทำได้เมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีทั้งสองฝ่าย แต่อย่างไรก็ดี หากมีเหตุที่จำเป็นอันสมควร ดังเช่น ชายและหญิงมีความสัมพันธ์กันก่อนมีอายุสิบเจ็ดปี หากหญิงเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา กรณีนี้อาจร้องต่อศาลขอทำการสมรสได้ ถือว่ามีเหตุอันสมควรตามกฎหมาย

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

                                                   ***************************************

 

6. การสมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายทำอย่างไร (6 of 26)

การสมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายก็คือ การที่ทั้งชายและหญิงต้องไปจดทะเบียนสมรสกันกับนายทะเบียนและต้องไปเปิดเผยต่อนายทะเบียนด้วยว่าตนยินยอมที่จะเป็นสามีภรรยากัน โดยที่นายทะเบียนต้องบันทึกการยินยอมไว้ด้วยหรือเรียกภาษาชาวบ้านว่า จดทะเบียนสมรส เมื่อกระทำครบถ้วนข้างต้นจึงจะถือว่า การจดทะเบียนสมรสกันถูกต้องตามกฎหมาย ถ้าหากมีการจัดงานแต่งงานเลี้ยงแขกอย่างยิ่งใหญ่แต่ไม่ไปจดทะเบียนสมรสกัน ก็ไม่ถือว่าเป็นสามีภรรยาตามกฎหมายและไม่เกิดสิทธิใดๆ ต่อกัน ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1457 และมาตรา 1458 (ติดตามโพตส์ต่อไป เรื่องการจดทะเบียนสมรสซ้อน)

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

                                                   ***************************************

 

7. การจดทะเบียนสมรสซ้อน (7 of 26)

การสมรสซ้อนเป็นกรณีที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งซึ่งมีคู่สมรสอยู่แล้ว แต่ไปจดทะเบียนสมรสกับบุคคลอีกคนหนึ่งทั้งที่ตนเองมีคู่สมรสอยู่แล้ว ถือว่าการสมรสครั้งหลังนี้ตกเป็นโมฆะ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1452 บัญญัติไว้ว่า ชายหรือหญิงจะทำการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้ และมาตรา 1495 บัญญัติว่า การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1452 ตกเป็นโมฆะ อย่างไรก็ดี การที่จะกระทำให้การสมรสครั้งหลังเป็นโมฆะโดยสมบูรณ์เพราะเหตุจดทะเบียนซ้อนนี้กฎหมายระบุให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายหรือมีส่วนได้เสีย เช่น สามีหรือภรรยาของผู้ที่คู่สมรสของตนไปจดทะเบียนสมรสกับบุคคลอื่น ซึ่งได้รับความเสียหายโดยตรงกล่าวขึ้นอ้างต่อศาลและร้องต่อศาลว่าการสมรสเป็นโมฆะ ตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1497

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

                                                 ***************************************

 

8. ทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยา (8 of 26)

ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1470 ได้บัญญัติไว้ว่า ทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยา นอกจากที่ได้แยกไว้เป็นสินส่วนตัวย่อมเป็นสินสมรส ดังนั้น เมื่อชายและหญิงสมรสกัน ซึ่งถือเสมือนว่าเป็นบุคคลคนเดียวกันในการดำรงชีวิต แต่อย่างไรก็ดี ทั้งสองฝ่ายอาจมีทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนมาก่อนที่จะสมรสกัน กฎหมายจึงได้แบ่งแยกทรัพย์สินของสามีภรรยาออกเป็นสองประการ คือ สินส่วนตัวและสินสมรส โดยที่สินส่วนตัวนั้นเป็นสิทธิ์ของแต่ละฝ่ายที่จะดูแลจัดการด้วยตนเอง ส่วนสินสมรสนั้นทั้งสองฝ่ายต้องดูแลและจัดการร่วมกัน

ทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา

ความขัดแย้งเรื่องทรัพย์สินที่เกิดขึ้นระหว่างสามีภรรยา ไม่ว่าเกิดจากฝ่ายสามีกระทำกับภรรยา หรือเกิดจากฝ่ายภรรยากระทำกับสามี เช่น การขโมยเงิน และของมีค่า หรือฉ้อโกงหลอกลวงเงิน แม้กฎหมายถือว่าเป็นความผิด แต่ไม่ต้องรับโทษ เพราะกฎหมายมองว่าเป็นเหตุส่วนตัวที่สามารถยกโทษให้กันได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 71 ตัวอย่างเช่น สามีขโมยสร้อยคอทองคำซึ่งเป็นสินส่วนตัวของภรรยาไปขาย แม้สามีจะมีความผิดฐานลักทรัพย์ แต่กฎหมายก็มีเหตุยกเว้นโทษ เนื่องจากเป็นเหตุ ส่วนตัวที่สามารถยกโทษให้กันได้ เนื่องจากต้องการคุ้มครองความผาสุกของสามีภรรยาในระบบครอบครัวอันเป็นสถาบันพื้นฐานของสังคม แม้กฎหมายจะไม่เอาผิด แต่เรื่องในลักษณะนี้ถ้าไม่เกิดขึ้นย่อมจะเป็นผลดีกับทุกฝ่ายมากกว่า

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

                                                ***************************************

 

9. สินสมรสคืออะไร (9 of 26)

คำว่าสินสมรส ก็คือทรัพย์สินที่สามีภรรยามีส่วนร่วมกันในทรัพย์สินนั้น การจัดการทรัพย์สินก็ต้องจัดการร่วมกัน ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474 บัญญัติไว้ว่า สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน 1. ทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส 2. ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส โดยพินัยกรรมหรือโดยการให้เป็นหนังสือที่ระบุว่าเป็นสินสมรส 3. ทรัพย์สินที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัว และมาตรา 1474 วรรคสอง ยังบัญญัติต่อไปอีกว่า กรณีที่สงสัยว่าทรัพย์สินเป็นสินสมรสหรือไม่ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรส ดังนั้น ทรัพย์สินที่จะเป็นสินสมรส ต้องไม่ใช่ทรัพย์สินที่มีมาก่อนสมรสนั้นเอง คือได้มาระหว่างสมรสอีกประการหนึ่ง กรณีหากฝ่ายหนึ่งมีทรัพย์สินส่วนตัว ต่อมามีดอกผลที่เกิดจากการใช้ทรัพย์เหล่านั้น เช่น ฝ่ายหญิงเลี้ยงสุนัขก่อนสมรส ต่อมาฝ่ายหญิงได้ทำการสมรสและสุนัขที่ได้เลี้ยงไว้นั้น ได้ให้กำเนิดลูกสุนัข ส่งผลให้ลูกสุนัขที่เกิดมาเป็นดอกผลที่เกิดขึ้นจากสินส่วนตัว แต่เนื่องจากเกิดขึ้นภายหลังการสมรส ดังนั้น ลูกสุนัขจึงกลายเป็นสินสมรสด้วย อีกกรณีหนึ่งที่เป็นสินสมรสก็คือคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ทรัพย์สินมาโดยพินัยกรรมหรือการให้เป็นหนังสือที่ระบุไว้ให้เป็นสินสมรส กรณีทั้งสามประการจึงเป็นสินสมรส ซึ่งสามีและภรรยาจะต้องจัดการดูแลร่วมกันหรือต้องได้รับยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งจึงจะจัดการโดยลำพังได้ เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1476 วรรคแรก

 

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474 ได้แบ่งประเภทของสินสมรสไว้ 3 ประเภท ดังนี้ (1) ทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส (2) ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรสโดยพินัยกรรมหรือโดยการให้เป็นหนังสือเมื่อพินัยกรรมหรือหนังสือยกให้ระบุว่าเป็นสินสมรส และ (3) ทรัพย์สินที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัว

 

ชีวิตคู่เป็นเรื่องของบุคคล 2 คน ที่ต้องแบ่งปันและใช้ชีวิตร่วมกัน แต่หากวันใดไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้อีกต่อไปก็สามารถตกลงแยกทางกันได้ และสามารถแบ่งหรือโอนทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสให้แก่กันได้ รวมทั้งหากมีหนี้สินร่วมกันก็ให้ชำระหนี้นั้นด้วยสินสมรสและสินส่วนตัวของทั้งสองฝ่าย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1489

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

                                                   ***************************************

 

10. การแบ่งสินสมรส (10 of 26)

เมื่อการสมรสสิ้นสุดลงด้วยการหย่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1533 บัญญัติให้แบ่งสินสมรสให้ชายและหญิงเท่าๆ กัน และมาตรา 1535 ได้บัญญัติเกี่ยวกับหน้าที่และความรับผิดของหญิงชายภายหลังการสมรสสิ้นสุดลงไว้ว่า ให้แบ่งความรับผิดในหนี้ตามส่วนเท่ากันตามบทบัญญัติดังกล่าว สรุปได้ว่าเมื่อการสมรสสิ้นสุดลงให้ชายและหญิงที่หย่ากันแบ่งสินสมรสกันคนละครึ่งในส่วนที่เท่ากัน ส่วนความรับผิดเกี่ยวกับหนี้ที่เกิดขึ้นในระหว่างเป็นสามีภรรยากันนั้นก็ต้องรับผิดในส่วนเท่าๆ กันเช่นกัน ยกเว้นหนี้ที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดสร้างขึ้นเป็นหนี้ส่วนตัวโดยแท้ไม่เกี่ยวกับสินสมรส ทั้งนี้ฝ่ายที่ก่อหนี้ต้องรับผิดเองเป็นการส่วนตัว (โปรดติดตามโพสต์ต่อไป เรื่องสินส่วนตัว)

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

                                                 ***************************************

 

11. สินส่วนตัวคืออะไร (11 of 26)

คำว่า สินส่วนตัว ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1471 ได้กำหนด สินส่วนตัวไว้ดังนี้ 1. ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส 2. เครื่องใช้ส่วนตัว เครื่องแต่งกายตามฐานะเครื่องมือประกอบวิชาชีพ 3. ทรัพย์สินที่ฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรสโดยรับมรดกหรือการให้โดยเสน่หา 4. ทรัพย์สินที่เป็นของหมั้น อย่างไรก็ดีหากสินส่วนตัว มีการนำไปแลกเปลี่ยนหรือขายหรือซื้อได้มา ซึ่งทรัพย์สินอื่นที่ได้มาแทนนั้น ก็ยังเป็นสินส่วนตัวของฝ่ายนั้นเช่นเดิม ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1472

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

                                                   ***************************************

 

12. หนี้ต้องรับ ทรัพย์ต้องแบ่ง (12 of 26)

เมื่อคู่สมรสที่เคยรักกันต้องสิ้นสุดความสัมพันธ์กันแล้ว นอกจากสินสมรสที่ต้องแบ่งให้เท่าๆ กันแล้ว ในส่วนของหนี้สินที่เกิดมาร่วมกันระหว่างสมรสก็ต้องร่วมกันรับผิดชอบไปในส่วนเท่าๆ กันด้วย ตัวอย่างเช่น นายสมโชคได้จดทะเบียนหย่าร้างกับนางสมพร โดยทั้งคู่มีเงินสดอยู่ 500,000 บาทที่เป็นสินสมรส ขณะเดียวกันนายสมโชคก็มีหนี้อยู่ 100,000 บาทที่เกิดจากไปกู้ยืมเงิน ซึ่งเป็นค่าใช่จ่ายในการเรียนของลูก ต่อมาเมื่อทั้งคู่หย่าร้างกันจะต้องแบ่งสินสมรสกันคนละ 250,000 บาท ขณะเดียวกันนางสมพรจะต้องช่วยรับผิดชอบหนี้จำนวนดังกล่าวที่นายสมโชคก่อขึ้นระหว่างสมรสจำนวนครึ่งหนึ่ง หรือ 50,000 บาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1533 มาตรา 1535

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

                                                    ***************************************

 

13. การมีบุตรที่พ่อแม่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส (13 of 26)

การที่ชายและหญิงอยู่กินฉันท์สามีกรรยา แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสและมีบุตรเกิดขึ้นมา บุตรนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546 บัญญัติหลักกฎหมายไว้ว่า เด็กที่เกิดจากหญิงที่มิได้สมรสกับชาย ให้ถือว่าเป็นบุตรโดยชอบของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ดังนั้นการที่หญิงและชายอยู่กินฉันท์สามีภรรยา เมื่อมีบุตรขึ้นมากฎหมายให้ถือว่าเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้น แต่อย่างไรก็ดี เด็กที่เกิดขึ้นมานั้นจะเป็นบุตรโดยชอบของชายได้ก็ต่อเมื่อ ชายและหญิงนั้นสมรสกันในภายหลัง หรือบิดาจดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร และในกรณีหลังนี้กฎหมายให้มีผลแก่บุตรย้อนไปถึงวันที่บุตรเกิด โดยถือว่าชายนั้นเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของบุตรนับแต่วันที่เด็กเกิด ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1547 และมาตรา 1557

 

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

                                                      ***************************************

 

14. การรับบุตรบุญธรรม (14 of 26)

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/19 และมาตรา 1598/20 ได้วางกฎเกณฑ์ตามกฎหมายการรับบุตรบุญธรรมไว้ว่า บุคคลที่ต้องการรับบุคคลอื่นเป็นบุตรบุญธรรมนั้น ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบห้าปี และต้องมีอายุแก่กว่าผู้ที่จะเป็นบุตรบุญธรรมอย่างน้อยสิบห้าปี และหากบุตรบุญธรรมอายุไม่ต่ำกว่าสิบห้าปี ผู้นั้นต้องให้ความยินยอมด้วย นอกจากนี้ หากผู้ที่จะเป็นบุตรบุญธรรมเป็นผู้เยาว์และมีพ่อแม่ผู้ปกครองอยู่ ต้องได้รับการยินยอมจากบุคคลเหล่านั้นด้วย เป็นไปตามบทบัญญัติ มาตรา 1598/21 อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ผู้รับบุตรบุญธรรมมีคู่สมรส ต้องให้คู่สมรสยินยอมในการรับบุตรบุญธรรมด้วย ตามบทบัญญัติ มาตรา 1598/25 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

                                                       ***************************************

 

15. สิทธิของผู้รับบุตรบุญธรรม (15 of 26)

กรณีรับบุตรบุญธรรมนั้น ทำให้ผู้ที่รับบุตรบุญธรรมมีสิทธิเป็นผู้ปกครองแทนบิดามารดาหรือผู้ปกครองเดิมนับแต่รับบุตรบุญธรรม โดยทำหน้าที่อบรมสั่งสอน อุปการะเลี้ยงดู ให้การศึกษา ตลอดจนช่วยเหลือเกื้อกูลบุตรบุญธรรมเสมือนบุตรที่แท้จริงของตน ตามหน้าที่ เช่นบิดา มารดาทั่วไปพึงกระทำ แต่การเป็นผู้รับบุตรบุญธรรมไม่ทำให้เกิดสิทธิในการรับมรดกของบุตรบุญธรรมในฐานะทายาทโดยธรรมแต่อย่างใด ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/29

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

                                                      ***************************************

 

16. สิทธิขอบบุตรบุญธรรม (16 of 26)

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/28 ได้กำหนดให้สิทธิผู้ที่เป็นบุตรบุญธรรม ไว้ว่า บุตรบุญธรรมจะมีฐานะเช่นเดียวกับบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้รับบุตรบุญธรรมกล่าวคือ มีสิทธิเช่นเดียวกับบุตรชอบด้วยกฎหมาย มีสิทธิได้รับการอุปการะเลี้ยงดูและมีสิทธิได้รับมรดกตกทอดเสมือนทายาทชั้นบุตรของผู้รับบุตรบุญธรรมทุกประการแต่ก็ไม่เสียสิทธิและหน้าที่ในครอบครัวที่ได้กำเนิดมาแต่เดิม เช่น มีสิทธิในการรับมรดกตกทอดจากบิดามารดาทายาทเดิม เพียงแต่อำนาจในการปกครองตกอยู่ในอำนาจของผู้รับบุตรบุญธรรม บิดามารดาหมดอำนาจปกครองนับแต่เด็กตกเป็นบุตรบุญธรรมของผู้รับบุตรบุญธรรม

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

                                                     ***************************************

 

17. การเป็นบุตรบุญธรรมที่ถูกต้องตามกฎหมาย (17 of 26)

การที่จะเป็นบุตรบุญธรรมโดยถูกต้องและสมบูรณ์ตามกฎหมายนั้น จะต้องนำไปจดทะเบียนและต้องปฏิบัติให้ครบถ้วนตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ด้วย เป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/21 สำหรับกรณีของผู้เยาว์ที่เป็นบุตรบุญธรรมของบุตรคนอื่นอยู่ จะไปขอเป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลอื่นอีกไม่ได้ ยกเว้นจะเป็นบุตรบุญธรรมของคู่สมรสของผู้รับบุตรบุญธรรมของตนซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/26

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

กฎหมายครอบครัว ตอนที่ 2

18. ชื่อสกุลนั้นสำคัญไฉน (18 of 26)

ชื่อสกุลหลักการหย่า

กฎหมายไทยในปัจจุบัน เปิดโอกาสให้คู่สามีภรรยาสามารถเลือกใช้นามสกุลได้อย่างเสรี จะเลือกใช้ของสามี ของภรรยา หรือต่างคนต่างใช้นามสกุลของใครของมันก่อนจดทะเบียนสมรสก็ได้ อย่างไรก็ดี หากการสมรสดังกล่าวมิได้ราบรื่นอีกต่อไป ต้องจบลงด้วยการเลิกราไม่ว่าจะเป็นเพราะจดทะเบียนหย่าโดยความสมัครใจของทั้งคู่ หย่าตามคำพิพากษาให้เพิกถอนการสมรส เช่น การสมรสโมฆะ เพราะการสมรสซ้อน เหล่านี้ หากคู่สมรสดังกล่าวเคยตกลงที่จะใช้นามสกุลของฝ่ายใดร่วมกันแล้ว เมื่อหย่าร้างหรือศาลเพิกถอนการสมรส ข้อตกลงใช้นามสกุลร่วมกันก็เป็นอันสิ้นสุด และแต่ละฝ่ายก็ต้องเปลี่ยนกลับไปใช้นามสกุลเดิมของตนก่อนจดทะเบียนสมรส

 

ชื่อสกุลหลังคู่สมรสเสียชีวิต

กฎหมายไทยในปัจจุบันเปิดโอกาสให้คู่สามีภรรยาสามารถเลือกใช้นามสกุลได้อย่างเสรี จะเลือกใช้ของสามี ของภรรยาหรือต่างคนต่างใช้นามสกุลของตนต่อไปก็ได้ อย่างไรก็ดีหากคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถึงแก่ความตายเป็นเหตุให้การสมรสดังกล่าวสิ้นสุดลงตัวอย่างเช่น นายสมชาย หอมจับจิตสมรสกับนางสาวสมหญิง หอมสุดใจทั้งคู่ตกลงร่วมกันใช้นามสกุลของสามีสมหญิงจึงเปลี่ยนนามสกุลเป็น หอมจับจิต ตามนามสกุลของสมชาย ต่อมาสมชายถึงแก่ความตาย เช่นนี้ สมหญิงมีสองทางเลือกคือ จะใช้นามสกุลหอมจับจิตของอดีตสามีต่อไปก็ได้ และใช้ได้ตลอดไปตราบเท่าที่สมหญิงไม่ได้สมรสใหม่ หรือสมหญิงอาจจะเลือกเปลี่ยนกลับไปใช้นามสกุลเดิมของตนก่อนการสมรสก็ได้

 

ชื่อสกุลของหญิงทีสามี

แต่ก่อนแต่ไรมา พระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ. 2505 กำหนดบังคับไว้ว่า หญิงมีสามีต้องใช้นามสกุลของสามีเท่านั้น จะใช้นามสกุลเดิมของตนก่อนสมรสไม่ได้ หรือแม้จะใช้นามสกุลอื่นให้ผิดแผกแตกต่างไปจากนามสกุลที่สามีใช้อยู่ก็ไม่ได้ ทางออก ณ ขณะนั้นก็คือ หญิงมีสามีทั้งหลายเลี่ยงไปใช้นามสกุลเดิมของตนในฐานะที่เป็นชื่อรอง อย่างไรก็ดี เมื่อปี 2546 ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยแล้วว่า บทบังคับให้หญิงมีสามีต้องใช้นามสกุลของสามีดังกล่าว เข้าข่ายเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อสตรี เพราะจัดให้มีสถานะทางกฎหมายที่ด้อยกว่าสามี เป็นการเลือกปฏิบัติระหว่างหญิงกับชาย ขัดต่อหลักความเสมอภาค จึงเป็นอันใช้บังคับมิได้ และนับแต่นั้นมา ผู้หญิงก็มีทางเลือกมากขึ้น

 

เมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ. 2505 มาตราที่กำหนดบังคับให้หญิงมีสามีต้องใช้ชื่อสกุลของสามีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ เพราะละเมิดหลักความเสมอภาคระหว่างชายและหญิงคำวินิจฉัยดังกล่าวก็นำมาสู่การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายชื่อบุคคลกันอีกครั้งเมื่อปี 2548 เปลี่ยนแปลงให้สิทธิแก่ทั้งหญิงและชายได้มีทางเลือกมากยิ่งขึ้นดังนี้ไม่ว่าชายหรือหญิงเมื่อจดทะเบียนสมรสแล้ว จะใช้นามสกุลใด อย่างไร ให้เป็นไปตามที่ทั้งคู่เลือกและตกลง ซึ่งก็มีอยู่ 3 ทางเลือก ทางแรก ต่างฝ่ายต่างใช้นามสกุลเดิมของตนก่อนสมรส ไม่เปลี่ยนแปลง ทางที่สอง เปลี่ยนไปใช้นามสกุลของสามีหรือไม่ก็ทางเลือกที่สามคือคู่สมรสทั้งสองฝ่ายเลือกใช้นามสกุลของภรรยา

 

กฎหมายชื่อบุคคลของไทยที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนับว่าเป็นหนึ่งในกฎหมายที่ก้าวหน้า เพราะว่าให้สิทธิเสรีภาพแก่สตรีเท่าเทียมบุรุษ ในการเลือกใช้นามสกุลภายหลังการสมรส แตกต่างจากเดิมที่บังคับให้หญิงมีสามีต้องใช้นามสกุลของสามีเท่านั้น แต่กฎหมายปัจจุบัน ให้คู่สมรสทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงกันได้ว่า จะใช้นามสกุลของฝ่ายใด หรือแม้แต่ ต่างฝ่ายต่างใช้นามสกุลเดิมของตนเองก็ได้ การตกลงของคู่สมรสเพื่อเลือกใช้นามสกุลเช่นนี้ จะตกลงตั้งแต่แรกเริ่มเมื่อครั้งจดทะเบียนสมรส หรือตกลงกันในภายหลัง และก็อาจเปลี่ยนใจเปลี่ยนข้อตกลงเดิมเมื่อใดก็ได้ เช่น ตอนจดทะเบียนสมรส ทั้งคู่เลือกใช้นามสกุลของสามี แต่ต่อมา ทั้งคู่เปลี่ยนใจเปลี่ยนไปใช้นามสกุลของภรรยา หรืออาจจะตกลงกันใหม่ต่างฝ่ายต่างใช้นามสกุลเดิมของใครของมันก็ได้

 

ชื่อสกุลของเด็กในการอุปการะ

เด็กบางคนเกิดมาอาภัพ บ้างทั้งพ่อและแม่ต่างเสียชีวิตทั้งคู่ ไม่มีญาติอุปการะเลี้ยงดู บ้างก็ถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง รัฐจึงมีหน้าที่ตามหลักมนุษยธรรมนำเด็กเหล่านั้นไปอุปการะ ให้การศึกษา ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า บางครั้งเด็กเหล่านี้ไม่มีแม้แต่นามสกุล จะสืบเสาะหาญาติพี่น้อง ก็ไม่พบใคร ด้วยเหตุนี้พระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ. 2505 จึงเปิดช่องให้ผู้อุปการะเลี้ยงดูเด็กเจ้าของสถานพยาบาล สถานสงเคราะห์ หรือสถานอุปการะเลี้ยงดูเด็ก สามารถจดทะเบียนตั้งชื่อสกุลของเด็กที่อยู่ในความอุปการะหรือความดูแลดังกล่าวได้ ในการนี้ อาจตั้งไว้หลายนามสกุลก็ได้และเมื่อใดก็ตาม มีเด็กสัญชาติไทยซึ่งไม่มีนามสกุลเข้ามาอยู่ในความดูแลของสถานที่แห่งนั้น ก็สามารถเลือกกำหนดชื่อสกุลให้แก่เด็กคนนั้นได้

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

                                                     ***************************************

 

19. ความผิดฐานแท้งลูก (19 of 26)

การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรของวัยรุ่น นำไปสู่ปัญหาการตั้งครรภ์และผลเสียต่างๆ ตามมาอย่างมากมาย สิ่งหนึ่งมาจากการรู้เท่าไม่การณ์หรือเพราะความประมาท รวมถึงการขาดการเอาใจใส่จากครอบครัวและการขาดแคลนโอกาสทางการศึกษา สาเหตุเหล่านี้เป็นปัญหาต้นๆ ที่ต้องรีบแก้ไขและให้ความรู้ความเข้าใจแก่นักเรียน นักศึกษา ให้มากขึ้น เพื่อป้องกันการทำแท้ง เพราะหากหญิงใดทำให้ตนแท้งลูกหรือยอมให้คนอื่นทำให้ตนแท้งลูกถือว่าหญิงนั้นหรือผู้กระทำนั้นได้กระทำผิดฐานทำให้แท้งลูก ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 301 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

สถานบริการหรือคลินิกที่เปิดให้บริการรับปรึกษาการตั้งครรภ์ ที่ได้จดขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย บางครั้งหลายๆ สถานบริการ ยังเป็นสถานที่ให้บริการรับทำแท้งลูกให้กับหญิงสาวที่ยังไม่พร้อมมีบุตรหรือพลาดพลั้งมีเพศสัมพันธ์กับคนรักแล้วไม่ได้ป้องกันทำให้เกิดการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร ซึ่งกลุ่มหญิงเหล่านี้มักจะหาสถานบริการหรือผู้ให้บริการเถื่อนทำแท้งลูกให้ ซึ่งถือว่าการทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงยินยอมผิดกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 302 ฐานความผิดผู้ใดทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนั้นยินยอม ต้องระวางจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

การทำแท้งถือเป็นความผิดตามกฎหมายไทย แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำแท้งมีมาตลอดทุกยุค ทุกสมัย ซึ่งมีสาเหตุทางสังคมหลายประการ อาทิ ฝ่ายชายไม่รับผิดชอบ ยังไม่ได้สมรส อยู่ในวัยเรียน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังไม่รวมไปถึงการกระทำอันมีผลให้ผู้อื่นแท้งลูกโดยไม่ยินยอม ซึ่งถือเป็นการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 303 วรรค 1 ในฐานความผิดผู้ใดทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนั้นไม่ยินยอม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นสี่พันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

                                                       ***************************************

 

20. ความผิดฐานทอดทิ้งลูก (20 of 26)

บ่อยครั้งที่มีการนำเสนอข่าวเด็กถูกทอดทิ้งตามสถานที่ต่างๆโดยปราศจากผู้ปกครองดูแลอันเนื่องมาจากปัญหาครอบครัวแตกแยก การตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ ครอบครัวมีฐานะยากจน หรือพ่อ แม่หย่าร้างกัน ซึ่งพ่อแม่ที่ทอดทิ้งลูกตัวเอง นอกจากจะไม่มีความรู้สึกรับผิดชอบทางศีลธรรมแล้ว ยังถือเป็นความผิดทางกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 306 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

 

จากสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป อันเป็นผลมาจากการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และอื่นๆ ส่งผลให้บทบาทความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวลดน้อยลง ประกอบกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเข้ามาแทรกแซงจนบางครอบครัวละเลยขาดการเหลียวแลเอาใจใส่ต่อคนใกล้ชิดหรือบุพการี และมีหลายกรณีที่ทอดทิ้งให้อยู่ตามลำพังในยามเจ็บmป่วย ชรา เป็นต้น ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดฐานทอดทิ้งเด็ก คนป่วยเจ็บ หรือคนชรา ว่าด้วยผู้ใดมีหน้าที่ตามกฎหมายหรือตามสัญญาต้องดูแลผู้ซึ่งพึ่งตนเองมิได้เพราะอายุ ความเจ็บป่วยกายพิการ หรือจิตพิการ ทอดทิ้งผู้ซึ่งพึ่งตนเองมิได้นั้นเสีย โดยประการที่น่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 307 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
                                                     ***************************************

21. ความรุนแรงในครอบครัว (21 of 26)

การทำร้ายร่างกายของกันและกันระหว่างสามีและภรรยา ถือเป็น “ความรุนแรงในครอบครัว” ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 มาตรา 3 หมายความว่า การกระทำใด ๆ โดยมุ่งประสงค์เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพ หรือกระทำโดยเจตนาในลักษณะ ที่น่าจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพของบุคคลในครอบครัว หรือบังคับหรือใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรมให้บุคคลในครอบครัวต้องกระทำการ ไม่กระทำการ หรือยอมรับการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด โดยมิชอบ แต่ไม่รวมถึงการกระทำโดยประมาท ส่วน“บุคคลในครอบครัว” หมายความว่า คู่สมรส คู่สมรสเดิม ผู้ที่อยู่กินหรือเคยอยู่กินฉันสามีภรรยา โดยมิได้จดทะเบียนสมรส บุตร บุตรบุญธรรม สมาชิกในครอบครัว รวมทั้งบุคคลใดๆ ที่ต้องพึ่งพาอาศัยและอยู่ในครัวเรือนเดียวกัน และในมาตรา4 ยังบัญญัติว่า ผู้ใดกระทำการอันเป็นความรุนแรงในครอบครัว ผู้นั้นกระทำความผิดฐานกระทำความรุนแรงในครอบครัว ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

โดยสรุป คือ กฎหมายห้ามบุคคลใดใช้ความรุนแรงกับสมาชิกในครอบครัวซึ่งจะมีความผิดฐานกระทำความรุนแรงในครอบครัว จำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือปรับไม่เกิน 6 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยความผิดข้อหานี้สามารถยอมความกันได้และมีอายุความ 3 เดือนนับแต่ผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวอยู่ในวิสัยและมีโอกาสที่จะแจ้งความหรือร้องทุกข์ได้ ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว

 

ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวเป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากบุคคลในครอบครัว รวมทั้งทุกภาคส่วนในสังคมร่วมกันรณรงค์และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าว โดยกำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ที่กระทำการอันเป็นความรุนแรงในครอบครัวแม้จะอยู่ในสถานะเป็นสามี ภรรยากันก็ตาม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พุทธศักราช 2550 มาตรา 4

 

บางครอบครัวที่มีการทำร้ายร่างกายกันอย่างรุนแรงตามที่นำเสนอทางสื่อหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ ฯลฯ จนถึงขั้นฟ้องศาลให้ผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวชดใช้เงินช่วยเหลือบรรเทาทุกข์เบื้องต้นตามความสมควร หรือร้องขอให้มีการคุ้มครองเพื่อบรรเทาทุกข์ต่อผู้ถูกกระทำในครอบครัว โดยห้ามผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวเข้าไปในที่พำนักของครอบครัวหรือเข้าใกล้ตัวบุคคลใดในครอบครัว หากผู้กระทำความรุนแรงฝ่าฝืนคำสั่งดังกล่าวของเจ้าพนักงาน ถือเป็นความผิดตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พุทธศักราช 2550 มีโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินสามพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

                                                      ***************************************

 

22. สามีภริยาทำร้ายร่างการกัน (22 of 26)

การทำร้ายร่างกายของกันและกันระหว่างสามีและภรรยา ถือเป็น “ความรุนแรงในครอบครัว” ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 มาตรา 3 หมายความว่า การกระทำใด ๆ โดยมุ่งประสงค์เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพ หรือกระทำโดยเจตนาในลักษณะ ที่น่าจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพของบุคคลในครอบครัว หรือบังคับหรือใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรมให้บุคคลในครอบครัวต้องกระทำการ ไม่กระทำการ หรือยอมรับการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด โดยมิชอบ แต่ไม่รวมถึงการกระทำโดยประมาท ส่วน“บุคคลในครอบครัว” หมายความว่า คู่สมรส คู่สมรสเดิม ผู้ที่อยู่กินหรือเคยอยู่กินฉันสามีภรรยา โดยมิได้จดทะเบียนสมรส บุตร บุตรบุญธรรม สมาชิกในครอบครัว รวมทั้งบุคคลใดๆ ที่ต้องพึ่งพาอาศัยและอยู่ในครัวเรือนเดียวกัน และในมาตรา4 ยังบัญญัติว่า ผู้ใดกระทำการอันเป็นความรุนแรงในครอบครัว ผู้นั้นกระทำความผิดฐานกระทำความรุนแรงในครอบครัว ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

โดยสรุป คือ กฎหมายห้ามบุคคลใดใช้ความรุนแรงกับสมาชิกในครอบครัวซึ่งจะมีความผิดฐานกระทำความรุนแรงในครอบครัว จำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือปรับไม่เกิน 6 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยความผิดข้อหานี้สามารถยอมความกันได้และมีอายุความ 3 เดือนนับแต่ผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวอยู่ในวิสัยและมีโอกาสที่จะแจ้งความหรือร้องทุกข์ได้ ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

                                                   ***************************************

 

23. ความผิดต่อชีวิต (23 of 26)

การทะเลาะวิวาท การมีปากเสียงถึงขั้นตบตี หรือชกต่อยกันด้วยโมหะ โทสะที่ปรากฏในกลุ่มวัยรุ่นหรือครอบครัวทำให้สร้างความเดือดร้อนถึงขั้นบาดเจ็บ หรือส่งผลให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ถือว่าบุคคลนั้นได้กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 ว่าด้วยผู้ใดมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

                                                 ***************************************

 

24. นาง-นางสาว เลือกได้หรือไม่ (24 of 26)
ในโลกยุคปัจจุบันที่หญิงและชายเท่าเทียมกัน ดังนั้น คำนำหน้าชื่อย่อมเป็นไปด้วยความสมัครใจ เช่น ฝ่ายหญิงเมื่อแต่งงานจดทะเบียนสมรสแล้ว จะใช้คำนำหน้าว่านางสาวหรือนางก็ได้ ส่วนหญิงที่หย่าร้าง หากเดิมใช้คำนำหน้าว่า “นาง” ก็สามารถกลับมาใช้ “นางสาว” ได้เช่นกัน ส่วนชายไทย ไม่ว่าแต่งหรือไม่แต่ง หรือหย่าร้าง ก็ยังคงใช้คำนำหน้าว่า “นาย” เท่านั้น

ซึ่งเป็นตามพระราชบัญญัติคำนำหน้านามหญิง พ.ศ.2551 มาตรา 4 ที่กำหนดให้หญิงที่อายุ 15 ปีขึ้นไป และยังไม่ได้สมรส ให้ใช้คำนำหน้านามว่า “นางสาว”

มาตรา 5 หญิงซึ่งจดทะเบียนสมรสแล้วจะใช้คำนำหน้านามว่า “นาง” หรือ “นางสาว” ก็ได้ตามความสมัครใจ โดยให้แจ้งต่อนายทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว

มาตรา 6 หญิงซึ่งจดทะเบียนสมรสแล้ว ต่อมาการสมรสสิ้นสุดลงจะใช้คำนำหน้านามว่า “นาง” หรือ “นางสาว” ก็ได้ตามความสมัครใจโดยให้แจ้งต่อนายทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445 ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com

                                                  ***************************************

 

25. สามีภรรยา ลักทรัพย์กันผิดมั้ย (25 of 26)
ปัญหาสามีขโมยเงินภรรยา ถือเป็นเรื่องปกติของบางครอบครัว แต่ทราบหรือไม่ว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 บัญญัติความผิดฐานลักทรัพย์ไว้ว่า ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 60,000 บาท

แต่ในมาตรา 71 วรรคหนึ่ง ระบุว่า ความผิดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 334 ถ้าเป็นการกระทำที่สามีกระทำต่อภรรยาหรือภรรยากระทำต่อสามี ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ

จากข้อกฎหมายตามที่กล่าวมาข้างต้น ความผิดที่ได้รับการยกเว้นโทษ ตามมาตรา 71 วรรคหนึ่ง นั้น ต้องเป็นลักษณะ ดังนี้ 1) ต้องเป็นสามีหรือภรรยาที่จดทะเบียนสมรสกัน 2) ทรัพย์ที่ถูกขโมยต้องเป็นทรัพย์ระหว่างสามีหรือภรรยาเท่านั้น ไม่มีบุคคลอื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย 3) การยกเว้นโทษต้องเป็นกรณีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์เฉพาะที่ไม่มีการข่มขู่หรือใช้กำลังประทุษร้ายและต้องไม่เกิดอันตรายสาหัสหรือถึงแก่ความตาย

สรุปง่ายๆ คือ สามี ภรรยาที่จดทะเบียนสมรสกัน เมื่อกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ยักยอก ฉ้อโกงทรัพย์ระหว่างกันเองมีความผิดแต่ไม่ต้องรับโทษตามกฎหมายดังที่กล่าวไปข้างต้น

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้คุณได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้คุณ.com

                                                 **************************************

 

26. นกเขาไม่ขัน ฟ้องหย่าได้มั้ย (26 of 26)
สภาพสังคมในปัจจุบัน ส่งผลให้หลายๆ ท่าน มีภาวะเครียด ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ และไม่ออกกำลังกาย โดยเฉพาะผู้ชายอันจะนำไปสู่การมีสุขภาพย่ำแย่ ทั้งสุขภาพกายใจ และอาจลามไปถึงปัญหาครอบครัว เพราะหากคุณผู้ชายหย่อนสมรรถภาพอาจนำไปสู่การหย่าร้างได้ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1516 (10) บัญญัติไว้ว่า สามีหรือภรรยามีสภาพแห่งกายทำให้สามีหรือภรรยานั้น ไม่อาจร่วมประเวณีได้ตลอดกาล อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้ ดังนั้น จึงควรดูแลสุขภาพเพื่อพลานามัยที่สมบูรณ์

มีคดีที่ศาลใหน ปรึกษาทนายใกล้ศาลนั้น 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้ศาลได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้ศาล.com

                                            ***************************************

กฎหมายมรดก

กฎหมายเรื่องมรดก
1. มรดกคืออะไร
2. มรดกเล็กใหญ่ ใครมีสิทธิก่อน
3. รู้จักผู้สืบสันดาน
4. ทายาทโดยธรรมผู้มีสิทธิรับมรดก
5. หากเจ้ามรดกมีคู่สมรสแล้วถึงแก่ความตายการแบ่งมรดกทำอย่างไร
6. บุตรนอกกฎหมาย บุตรบุญธรรม มีสิทธิรับมรดกหรือไม่
7. การเป็นทายาทที่มีสิทธิรับมรดกเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่
8. ลำดับทายาทโดยชอบธรรมที่จะมีสิทธิรับมรดก
9. ทายาทของกองมรดกที่มีสิทธิได้รับมรดกนั้นอย่างไร
10. มรดกเป็นปืน ให้ระวัง
11. มรดกของพระต้องทำอย่างไร ทายาทต้องทำอย่างไร
12. เหตุเพราะไม่ทำพินัยกรรม ทายาทถึงมีปัญหา
13. เป็นพระสงฆ์มีสิทธิได้รับมรดกหรือไม่
14. ทรัพย์สินของพระที่ได้มาระหว่างบวช มรณภาพแล้ว ทรัพย์นั้นไปใหน
15. สัญญาเช่า เป็นมรดกตกทอดหรือไม่
16. พินัยกรรม แก้ทุกปัญหาเกี่ยวกับทรัพย์มรดก
17. ผู้จัดการมรดกยักยอกทรัพย์มรดก ทายาททำอย่างไรดี
ขอบคุณข้อมูลจากเพจรู้หมดกฎหมาย
มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com

***************************************

1. มรดกคืออะไร( 1 of 17)
คำว่า มรดก หมายถึง ทรัพย์สินทุกชนิดที่ผู้ตายมีอยู่ก่อนตาย รวมถึงสิทธิและหน้าที่ความรับผิดต่างๆ เว้นแต่โดยสภาพตามกฎหมายเป็นเฉพาะตัวตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1600 และทรัพย์สินรวมทั้งสิทธิและหน้าที่ความรับผิดที่เป็นมรดกจะตกทอดแก่ทายาทเมื่อบุคคลผู้นั้นถึงแก่ความตาย ตามบทบัญญัติของมาตรา 1599 การตกทอดมรดกในทรัพย์สินนั้นตกทอดทันทีที่เจ้ามรดกเสียชีวิต ซึ่งเป็นผลของกฎหมาย อย่างไรก็ดี แม้ว่าทรัพย์มรดกเกี่ยวกับหนี้สินของผู้ตายจะมีมากเท่าใด ความรับผิดชอบในหนี้สินแม้จะตกแก่ทายาท แต่ทายาทที่รับมรดกก็ไม่ต้องรับผิดชอบในหนี้นั้นเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตนได้รับ เป็นไปตามบทบัญญัติของมาตรา 1601 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com

***************************************

2. มรดกเล็กใหญ่ ใครมีสิทธิก่อน ( 2 of 17)
ปัญหาเรื่องมรดกกลายเป็นต้นเหตุให้ผู้คนเกิดการแก่งแย่งกันมามากมายแล้ว หากเจ้าของมรดกทำพินัยกรรมเอาไว้เรียบร้อยก็คงไม่มีปัญหา แต่ถ้าไม่ได้ทำไว้ ลูกหลานจะทำอย่างไรกันดี ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 มาตรา 1630 และ มาตรา 1631 กำหนดให้ทายาทที่จะได้รับมีมรดกเพียง 6 ลำดับ คือ 1. ผู้สืบสันดาน (ลูกเจ้าของมรดก) 2. บิดามารดา 3. พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 4. พี่น้อง ร่วมบิดา หรือร่วมมารดาเดียวกัน 5. ปู่ ย่า ตา ยาย และ 6. ลุง ป้า น้า อา โดยส่วนใหญ่ทายาทชั้นที่ชิดสนิทที่สุดของเจ้ามรดกเท่านั้นคือ 1. ผู้สืบสันดาน (ลูกเจ้าของมรดก) 2. บิดามารดาจะได้รับมรดกก่อน และกฎหมายยกเว้นให้ทั้งสองลำดับดังกล่าวอยู่ในลำดับเดียวกัน หากทายาท 2 ลำดับแรก คือ ผู้สืบสันดานและบิดามารดาไม่มีชีวิตอยู่ทั้งหมด ทายาทลำดับ 3 ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันของเจ้ามรดกอยู่ก็จะได้รับทรัพย์สินไป โดยทายาทที่อยู่ในลำดับที่ 4 ถึง 6 ก็จะไม่มีสิทธิรับมรดกของเจ้ามรดกได้ รู้ลำดับชั้นของกฎหมายกันแล้ว ญาติพี่น้องจะได้ไม่ต้องมานั่งทะเลาะ แย่งสมบัติกันให้เจ้าของมรดกนอนตายตาไม่หลับ
ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com

***************************************

3. รู้จักผู้สืบสันดาน (3 of 17)
เวลาที่เราอ่านหนังสือกฎหมายเรื่องเกี่ยวกับมรดกมักจะพบคำว่า “ผู้สืบสันดาน” ทำให้เกิดความสงสัยว่าหมายถึงใคร ทั้งนี้ตามกฎหมายระบุไว้ว่า ผู้สืบสันดาน หมายถึง ผู้สืบสายโลหิตโดยตรงลงมา ได้แก่ ลูก หลาน เหลน ลื่อ ลื่อก็คือ คนที่สืบต่อจากเหลนลงมา เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 (1) นอกจากนี้ในกลุ่มของผู้สืบสันดานยังสามารถแบ่งประเภทของบุตรที่จะมีสิทธิได้รับมรดกในลำดับชั้นเดียวกัน โดยแบ่งเป็น 3 ประเภท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1627 ประกอบด้วย 1. บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายหรือบุตรที่เกิดจากบิดาที่จดทะเบียนสมรส 2. บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองหรือบุตรที่เกิดจากบิดามารดาที่อยู่กินกัน ฉันสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสแต่ต่อมาบิดาได้รับรอง เช่น การแจ้งเกิด การให้ใช้นามสกุล การส่งเสียเลี้ยงดู หรือการแสดงเปิดเผยแก่บุคคลทั่วไปว่าเป็น บุตรของตน 3. บุตรบุญธรรมหรือการรับลูกคนอื่นมาเลี้ยงเสมือนเป็นลูกของตัวเอง โดยต้องจดทะเบียนตามกฎหมาย เข้าใจภาษามรดกแล้ว คราวนี้การศึกษาหรือการแบ่งทรัพย์สินก็ทำได้ไม่ยากอีกต่อไป
ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com

***************************************

4. ทายาทโดยธรรมผู้มีสิทธิได้รับมรดก ( 4 of 17)
การที่ทายาทโดยธรรมจะมีสิทธิได้รับมรดกนั้น เจ้ามรดกจะต้องไม่ทำพินัยกรรมยกให้บุคคลอื่นไว้ เพราะหากทำพินัยกรรมไว้ ทรัพย์มรดกนั้นจะต้องตกเป็นของผู้รับพินัยกรรมแต่เพียงผู้เดียว ทายาทโดยธรรมจะได้รับมรดกก็ต่อเมื่อทรัพย์มรดกนั้นไม่ได้ทำพินัยกรรมยกให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใด เมื่อเจ้ามรดกถึงแก่ความตายทายาทโดยธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 ลำดับที่ 1 ถึง 6 จึงจะมีสิทธิได้รับมรดกและต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติการจัดแบ่งทรัพย์มรดกด้วย
ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com

***************************************


5. หากเจ้ามรดกมีคู่สมรสแล้วถึงแก่ความตายการแบ่งมรดกทำอย่างไร (5 of 17)
การที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายขณะที่มีคู่สมรส หากทรัพย์สินนั้นเป็นสินสมรส จะต้องจัดแบ่งออกเป็น 2 ส่วนเสียก่อน โดยถือว่า หนึ่งส่วนเป็นของคู่สมรสแต่ผู้เดียว และอีกส่วนหนึ่ง เป็นทรัพย์มรดกที่ตกทอดแก่ทายาท ซึ่งจะต้องนำมาจัดแบ่งตามลำดับของประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ มาตรา 1629
ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com

***************************************

6. บุตรนอกกฎหมาย บุตรบุญธรรม มีสิทธิรับมรดกหรือไม่ (6 of 17)
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1627 ได้บัญญัติไว้ว่าบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้วและบุตรบุญธรรม ให้ถือว่าเป็นผู้สืบสันดานเหมือนกับบุตรชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น การเป็นบุตรที่เกิดจากชายที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับหญิง จะมีสิทธิได้รับมรดกของชายได้ ก็ต่อเมื่อผู้เป็นบิดาได้รับรองว่าเป็นบุตร ซึ่งการรับรองบุตรดังกล่าว อาทิ การส่งเสียเลี้ยงดู ให้ใช้นามสกุล เมื่อแรกคลอดระบุว่าเป็นบิดา โดยที่มีบุคคลทั่วไปรับรู้ เหตุดังกล่าวถือว่า บิดาได้รับรองแล้ว บุตรผู้นั้นจึงมีสิทธิได้รับมรดกเสมือนเป็นทายาทโดยธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 (1) เช่นเดียวกับบุตรบุญธรรมซึ่งมีสิทธิได้รับมรดกจากผู้รับบุตรบุญธรรม โดยกฎหมายให้ถือว่า เป็นผู้สืบสันดานที่มีสิทธิได้รับมรดก เสมือนกับบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย(โปรดติดตามโพสต์ต่อไป เรื่อง การเป็นทายาทมีสิทธิรับมรดกเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่)
ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com

***************************************

7. การเป็นทายาทที่มีสิทธิรับมรดกเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ (7 of 17)
การที่บุคคลใดจะมีสิทธิรับมรดกในฐานะทายาท บุคคลนั้นจะต้องมีสภาพเป็นบุคคลตามกฎหมายด้วย ซึ่งสภาพบุคคลย่อมเริ่มต้นตั้งแต่คลอดจากครรภ์มารดาและอยู่รอดเป็นทารก และทารกในครรภ์มารดา ก็สามารถมีสิทธิต่างๆ หากว่าภายหลังคลอดแล้วอยู่รอดมาเป็นทารก ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1604 ประกอบมาตรา 15 ดังนั้น ทายาทจะมีสิทธิรับมรดกต้องมีสภาพบุคคลตามบทบัญญัติดังกล่าวอย่างไรก็ดี ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1604 วรรคสองได้กำหนดไว้ว่า การที่ชายและหญิงจดทะเบียนสมรสกัน และหญิงตั้งครรภ์ก่อนที่จะคลอดบุตร ต่อมาชายเจ้ามรดกถึงแก่ความตายไปก่อนหากหญิงคลอดบุตรภายในสามร้อยสิบวันนับแต่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายให้ถือว่าทารกที่เกิดมาเป็นทายาทของชายผู้นั้นและมีสิทธิได้รับมรดกด้วย
ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com

***************************************

8. ลำดับทายาทที่จะมีสิทธิได้รับมรดกก่อนและหลัง (8 of 17)
ทายาทโดยธรรมจะมีสิทธิได้รับมรดกก่อนหรือหลัง เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 ดังนี้ 1. ผู้สืบสันดาน เช่น ลูก หลาน เหลน ลื้อ 2. บิดามารดา 3. พี่น้องร่วมบิดามารดา 4. พี่น้องร่วมแต่บิดาหรือมารดา 5. ปู่ย่า ตายาย 6. ลุงป้า น้าอา ทั้งนี้กฎหมายกำหนดให้ทายาทโดยธรรมที่มีลำดับต้นๆ มีสิทธิได้รับมรดกก่อนลำดับหลังทายาทที่มีลำดับถัดมาจะไม่มีสิทธิได้รับมรดกเลย ถ้ายังมีทายาทโดยธรรมลำดับก่อนตนเป็นไปตามมาตรา 1630 วรรคแรก อย่างไรก็ดี กฎหมายมีข้อยกเว้นไว้ว่า กรณีที่คู่สมรสและบิดามารดาที่ยังมีชีวิตอยู่ ให้มีสิทธิได้รับมรดกเท่ากับทายาทชั้นบุตรหรือผู้สืบสันดาน ตามบทบัญญัติมาตรา 1635 (1) และมาตรา 1630 วรรคที่สอง นอกจากนี้ตามบทบัญญัติมาตรา 1631 กำหนดไว้ว่า ในระหว่างผู้สืบสันดานต่างชั้นกัน บุตรของเจ้ามรดกอันอยู่ในลำดับชั้นสนิทเท่านั้นมีสิทธิได้รับมรดก ผู้สืบสันดานชั้นถัดไปจะรับมรดกก็ได้แต่ต้องอาศัยสิทธิในการรับมรดกแทนที่ กรณีดังกล่าวหมายถึงผู้สืบสันดานซึ่งเป็นทายาทเจ้ามรดกลำดับที่ 1 เช่น เจ้ามรดกมีลูกและหลาน ซึ่งเป็นผู้สืบสันดานเช่นกัน ผู้ที่มีสิทธิได้รับมรดกก่อนคือ ลูกของเจ้ามรดกซึ่งถือเป็นชั้นสนิทที่สุด สำหรับหลานจะได้มรดกนั้นต้องเป็นการรับมรดกแทนที่เท่านั้น (ติดตามโพสต์ต่อไป ทายาทของกองมรดกที่มีสิทธิได้รับมรดกนั้นอย่างไร)
ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com

***************************************


9. ทายาทของกองมรดกที่มีสิทธิได้รับมรดกนั้นอย่างไร (9 of 17)
ทายาทที่มีสิทธิ์ได้รับมรดกมี 2 ประเภท คือ 1. ทายาทที่มีสิทธิตามกฎหมาย เรียกว่า ทายาทโดยธรรม และ 2. ทายาทที่มีสิทธิตามพินัยกรรม เรียกว่า ผู้รับพินัยกรรม ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1603 ทายาทโดยธรรมนั้น กฎหมายได้ลำดับทายาทไว้ก่อนหลังตามบทบัญญัติ มาตรา 1629 ซึ่งได้แก่ 1. ผู้สืบสันดาน 2. บิดามารดา 3. พี่น้องร่วมบิดามารดา 4. พี่น้องร่วมแต่บิดาหรือมารดา 5. ปู่ย่า ตายาย 6. ลุงป้า น้าอา นอกจากนี้ คู่สมรสก็ถือเป็นทายาทโดยธรรม ตามบทบัญญัติมาตรา 1635 ซึ่งมีสิทธิเทียบเท่าทายาทลำดับที่ 1 คือ ผู้สืบสันดานหรือเทียบเท่าชั้นบุตรนั่นเอง
ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com

***************************************


10. มรดกเป็นปืน ให้ระวัง (10 of 17)
การได้รับมรดกจากพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ ที่ดิน เงินทอง ฯลฯ สินทรัพย์เหล่านี้ผู้เป็นลูกหลานย่อมยินดีจะรับไว้และเต็มใจที่จะดำเนินการเพื่อ ครอบครอง แต่ถ้าหากมรดกนั้นเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย เช่น พวกอาวุธปืน ควรจะต้องทำอย่างไร แม้ว่าผู้รับจะอยากได้หรือไม่ก็ตาม แต่ผู้รับมรดกมีหน้าที่ที่จะต้องไปดำเนินการ ตามกฎหมาย คือแจ้งต่อนายทะเบียนภายในท้องที่ภายใน 30 วันว่าผู้ครอบครอง เดิมนั้นเสียชีวิตแล้ว และขอใบอนุญาตใหม่สำหรับตนเองเพื่อครอบครองอาวุธปืน เป็นไปตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 64 วรรคแรก หากไม่ทำหรือละเลย ปล่อยทิ้งเอาไว้ ก็อาจกลายเป็นการครอบครองอาวุธปืน โดยไม่ได้รับอนุญาต อาจมีความผิดตามมาตรา 83 ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com

***************************************


11. มรดกของพระต้องทำอย่างไร ทายาทถึงจะได้ (11 of 17)
หากในระหว่างบวชเป็นพระสงฆ์มีญาติโยมมอบเงินทอง ที่ดิน รถยนต์ให้ใช้ และปรากฎว่าต่อมาภิกษุรูปนั้นเกิดมรณภาพ ตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา 1623 กำหนดว่า ทรัพย์สมบัติดังกล่าวต้องตกเป็นของวัด ที่จำพรรษาอยู่ ดังนั้น ทายาทจะมาร้องขอส่วนแบ่งจากวัดไม่ได้ ยกเว้นแต่ ระหว่างท่านยังมีชีวิตอยู่ได้มอบทรัพย์สินเงินทองให้ใคร หรือทำพินัยกรรมเอาไว้ให้บุคคลอื่นได้ เพราะทรัพย์ดังกล่าวเป็นของท่านที่จะมอบให้ใครก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น พระมนัสได้ทำพินัยกรรมมอบรถยนต์ให้แก่น้องชายตัวเองเอาไว้ ต่อมาเมื่อพระมนัสมรณภาพ รถยนต์คันดังกล่าวก็ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของน้องชาย โดยที่วัดไม่มีสิทธิ์ยึดครองเอาไว้ ส่วนทรัพย์สินอื่นๆ ที่มิได้ทำพินัยกรรมไว้ย่อมตกเป็นของวัด โดยที่ญาติของพระมนัสจะมาเรียกร้องไม่ได้เช่นกัน
ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com

***************************************


12. เหตุเพราะไม่ทำพินัยกรรม ทายาทถึงมีปัญหา (12 of 17)
เมื่อมีทั้งคู่สมรสและเครือญาติ เรื่องของมรดกนั้น หากเจ้ามรดกทำพินัยกรรมเรียบร้อยย่อมไม่มีปัญหา แต่ถ้าไม่ได้ทำไว้นี่เองย่อมกลายเป็นเรื่องยุ่งยากตามมา กรณีที่ผู้ตายซึ่งเป็นเจ้ามรดกมีสามีหรือภรรยาที่จดทะเบียนสมรสกันถูกต้อง ฝ่ายที่ยังมีชีวิตอยู่มีสิทธิที่จะได้รับทรัพย์สินครึ่งหนึ่งจากมรดกส่วนที่เป็นสินสมรสก่อน ตามประมวล กฏหมายแพ่งและพานิชย์ มาตรา 1625 ส่วนสินสมรสที่เหลืออีกครึ่งหนึ่ง ก็จะตกเป็นมรดกของทายาท ดังนั้น คู่สมรสจึงมีสิทธิได้รับมรดกอีกครั้งหนึ่งในฐานะทายาทร่วมกับ (ลูกเจ้ามรดก) และบิดามารดาของผู้ตายที่ยังมีชีวิตอยู่ตามประมวล กฏหมายแพ่งและพานิชย์ มาตรา 1629, 1635 (1) ตัวอย่างเช่น นายเอและนางบี เป็นสามีภรรยาตามกฎหมาย และมีทรัพย์สินรวมกัน 1,000,000 บาท มีบุตรด้วยกัน 1 คน และมีบิดา และมารดาของนายเอที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วย ต่อมานายเอเสียชีวิต เบื้องต้นทรัพย์สิน จำนวน 1,000,000 บาท นางบีจะได้รับเงินจำนวน 500,000 บาท ไปก่อน ซึ่งถือเป็นเงินสินสมรส ส่วนที่เหลืออีก 500,000 ก็ตกเป็น มรดกของทายาทตามลำดับของนายเอ ที่ประกอบด้วยบุตร บิดามารดา ที่ยังมีชีวิต และนางบีภรรยาอีกด้วย โดยจะได้ส่วนแบ่งในอัตราสัดส่วน เท่าๆ กัน คือคนละ 125,000 บาท ขณะที่นางบีภรรยาจะได้เงินรวมทั้งสิ้น 625,000 บาท
ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com

***************************************


13. เป็นพระสงฆ์มีสิทธิได้รับมาดกหรือไม่ (13 of 17)
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1622 ได้บัญญัติเกี่ยวกับสิทธิของพระภิกษุในการรับมรดก ดังนี้ พระภิกษุนั้น จะเรียกร้องเอาทรัพย์มรดกในฐานะทายาทโดยธรรมไม่ได้ เว้นแต่จะได้สึกจากสมณะเพศ และมาเรียกร้องภายในกำหนดอายุความตามมาตรา 1754 และวรรคสองของมาตรา 1622 ได้บัญญัติไว้ว่า พระภิกษุนั้น อาจเป็นผู้รับพินัยกรรมได้ดังนั้น กรณีมีบุคคลที่บวชเป็นพระ หากต้องการเรียกร้องทรัพย์สินมรดกในฐานะที่ตนเป็นทายาทโดยธรรมจะต้องสึกจากการเป็นพระเสียก่อนแล้วมาเรียกร้องทรัพย์มรดกได้ อย่างไรก็ดี การที่มาเรียกร้องทรัพย์มรดกจะต้องเรียกร้องภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายตามบทบัญญัติของมาตรา 1754 แต่สำหรับกรณีที่เจ้ามรดกทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้พระภิกษุนั้น พระภิกษุไม่จำเป็นต้องสึกจากการเป็นพระเสียก่อนแต่อย่างใด ทั้งนี้สามารถรับมรดกในฐานะทายาท โดยพินัยกรรมได้ทันทีที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย
ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com

***************************************

14. ทรัพย์สินของพระที่ได้มาระหว่างบวช มรณภาพแล้ว ทรัพย์นั้นไปใหน (14 of 17)
ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1623 ได้บัญญัติว่าทรัพย์สินของพระภิกษุที่ได้มาระหว่างที่อยู่ในสมณะเพศนั้น เมื่อพระภิกษุถึงแก่มรณภาพให้ตกเป็นสมบัติของวัดที่เป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุนั้นหรือที่อยู่ในขณะมรณภาพ แต่อย่างไรก็ตาม หากพระภิกษุในขณะมีชีวิตอยู่ได้ทำการจำหน่าย จ่ายโอนทรัพย์สินนั้นไปหรือยกทรัพย์สินให้บุคคลอื่น ทรัพย์สินนั้นก็ไม่ตกแก่วัด อีกทั้งพระภิกษุก็มีสิทธิทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้บุคคลอื่นได้ตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น นอกจากนี้ทรัพย์สินใดของพระภิกษุได้มาก่อนอุปสมบท ทรัพย์สินนั้นก็ไม่ตกเป็นของวัดแต่อย่างใด หากไม่ได้จำหน่ายจ่ายโอนให้ผู้ใด เมื่อพระภิกษุมรณภาพ ทรัพย์สินนั้นก็ตกเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมต่อไป ตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1624
ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com

***************************************

15. สัญญาเช่าเป็นมรดกตกทอดถึงทายาทหรือไม่ (15 of 17)
หลายครอบครัวพักอาศัยในบ้านเช่า ซึ่งอยู่กันมายาวนานหลายรุ่น หากเจ้าของบ้านใจดีให้ต่อสัญญาเช่ายามที่ผู้เช่าเสียชีวิต ลูกหลานก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่ต่อสัญญาเช่าให้ ลูกหลานต้องย้ายออกหรือไม่นั้น กรณีนี้จะต้องมาดูว่า สัญญาเช่าเป็นมรดกตกทอดได้หรือไม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 537 บัญญัติไว้ว่า อันว่าเช่าทรัพย์สินนั้นคือสัญญา ซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า ผู้ให้เช่า ตกลงให้บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า ผู้เช่า ได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สินอย่างใดอย่างหนึ่งชั่วระยะเวลาอันมีจำกัด และผู้เช่าตกลงจะให้ค่าเช่าเพื่อการนั้น และ มาตรา 544 ทรัพย์สินซึ่งเช่านั้น ผู้เช่าจะให้เช่าช่วงหรือโอนสิทธิของตนอันมีในทรัพย์สินนั้นไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่บางส่วนให้แก่บุคคลภายนอก ท่านว่าหาอาจทำได้ไม่ เว้นแต่จะได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญาเช่าจากตัวบททั้งสองมาตรา อาจสรุปได้สั้นว่า สัญญาเช่าเป็นการตกลงกันเฉพาะตัวระหว่างผู้เช่ากับผู้ให้เช่า เมื่อผู้เช่าตายไปสิทธิดังกล่าว จึงไม่ใช่สิทธิของบุคคลอื่นนอกสัญญา เช่น ลูกหลาน เป็นต้นดังนั้น เมื่อสัญญาเช่าเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้เช่า หากผู้เช่าตายสัญญาเช่าย่อมระงับไป ไม่เป็นมรดกตกทอดไปยังทายาทมีคดีที่ศาลใหน
ปรึกษาทนายใกล้ศาลนั้น 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้ศาลได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้ศาล.com

***************************************


16. พินัยกรรมแก้ทุกปัญหาเกี่ยวกับทรัพย์มรดก (16 of 17)
การแย่งมรดกเป็นปัญหาที่สร้างความแตกแยกในครอบครัวได้มากที่สุด ซึ่งวิธีป้องกันปัญหาให้เกิด น้อยที่สุด สามารถสรุปได้1) เมื่อเจ้ามรดกเสียชีวิตต้องมีการตั้งผู้จัดการมรดกต่อศาล ซึ่งมีระยะเวลารอคำสั่งศาลประมาณ 1 เดือน2) เจ้ามรดกควรทำพินัยกรรมเพื่อความชัดเจนหากมีปัญหาฟ้องร้องกันในภายหลัง โดยเฉพาะพินัยกรรมฝ่ายเมืองซึ่งเป็นที่นิยมที่สุด3) การบันทึกภาพและเสียงของเจ้ามรดกว่าทำพินัยกรรมไว้จริงและมีสติสัมปัชชัญญะสมบูรณ์จะช่วยให้การนำสืบง่ายมากยิ่งขึ้น4) หากไม่มีพินัยกรรม การรับมรดกเป็นไปตามหลักการ ‘ญาติสนิทตัดญาติห่าง’ และภรรยาที่จดทะเบียน มีสิทธิได้รับมรดก ภรรยานอกสมรสไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดก นอกจากจะขอให้เจ้ามรดกยกให้ก่อนเสียชีวิต บุตรของภรรยานอกสมรสก็ไม่มีสิทธิรับมรดก เว้นแต่เจ้ามรดกจะจดทะเบียนรับรองบุตร หรือเป็นบุตรที่เจ้ามรดกให้การรับรองโดยพฤติการณ์ และบุตรบุญธรรมก็เป็นผู้มีสิทธิได้รับมรดกเช่นกัน ซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1627
อยู่กรุงเทพปรึกษาทนายกรุงเทพ 099 464 4445 ค้นหาทนายความได้ที่เวปไซต์นี้: www.ทนายกรุงเทพ.com

***************************************


17. ผู้จัดการมรดกยักยอกทรัพย์มรดก ทายาททำอย่างไรดี (17 of 17)
ในบางกรณีอาจพบว่า ผู้จัดการมรดก ไม่แบ่งทรัพย์มรดกให้แก่ทายาท บางทีอาจฮุบมรดกเป็นของตัวเอง บางทีก็สมรู้ร่วมคิดโอนมรดกไปให้คนอื่น การกระทำดังกล่าวไม่ใช่แค่เรื่องทางแพ่งอย่างเดียว แต่ยังเป็นการกระทำผิดทางอาญาอีกด้วย โดยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 353 บัญญัติไว้ว่า ผู้ใดได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่น หรือทรัพย์สินซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย กระทำผิดหน้าที่ของตนด้วยประการใด ๆ โดยทุจริต จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้นั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับอยู่ต่างจังหวัด
ปรึกษาทนายความในจังหวัดของคุณ 099 464 4445 ค้นหาทนายความในจังหวัดของคุณได้ที่เวปไซต์นี้: www.ทนายใกล้คุณ.com

*************************************** 

กฎหมายที่ดิน

กฎหมายเรื่องที่ดิน
1. มีที่ดิน ไม่ดูแล เจ้าของแท้ก็หมดสิทธิ
2. วิธีแก้ปัญหา ซื้อที่ดินตาบอด
3. กรรมสิทธิ์คืออะไร
4. การครอบครอบปรปักษ์ที่ดิน
5. ที่ดินตาบอด
6. สิทธิของการซื้อทรัพย์โดนสุจริตในท้องตลาด
7. การสร้างที่อยู่อาศัยที่ที่ดินของคนอื่นโดยไม่สุจริต
8. บ้านหรือสิ่งปลูกสร้างที่อยู่บนที่ดิน
9. ความหมายของคำว่า ทรัพย์หรือทรัพย์สิน
10. สีของพญาครุฑ บอกอะไร
11. เจ้าหนี้เงินกู้ยึดโฉนดไว้ เอาคืนได้มั้ย
12. ซื้อที่ดิน สปก.
13. ขายฝากอย่างไรไม่เสียเปรียบ
14. หมุดเขตเดินได้
15. จำนองที่ดินเป็นหลักประกันหนี้

ขอบคุณข้อมูลจากเพจรู้หมดกฎหมาย
มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com

                                            ***************************************


1. มีที่ดิน ไม่ดูแล เจ้าของแท้ก็หมดสิทธิ (1 of 15)เจ้าของที่ดินจำนวนมากอาจไม่รู้ว่ามีที่ดินอยู่ตรงไหนบ้าง หรือไม่ดูแล และปล่อยทิ้งร้างมานาน หากภายหลังปรากฏว่ามีคนเข้ามาครอบครอง อย่างสงบ เปิดเผย และเจตนาเป็นเจ้าของ ติดต่อกันนานถึง 10 ปี โดยที่เจ้าของที่ดินเดิม ไม่เคยเข้ามาป้องกันหรือขัดขวาง ที่ดินดังกล่าวก็จะตกเป็นของบุคคลอื่นที่เข้ามา ครอบครอง หรือตามที่รู้จักกันว่าการครอบครองแบบปรปักษ์ เป็นไปตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382เพราะฉะนั้นมีที่ดินต้องดูแล ไม่เช่นนั้นถึงเป็นเจ้าของที่ดินแท้ๆ ก็หมดสิทธิ โดยไม่รู้ตัวได้
มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com

                                            ***************************************


2. วิธีแก้ปัญหา ซื้อที่ดินตาบอด (2 of 15)หลายคนอาจจะประสบปัญหาว่าที่ดินที่ตนเองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อยู่ ถูกล้อมด้วยที่ดินแปลงอื่นอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้หรือมีทางออกสู่ทางสาธารณะได้แต่ไม่สะดวก เช่น จะต้องข้ามบึง แม่น้ำ ทะเล หรือที่ลาดชัน โดยระดับที่ดินกับทางสาธารณะสูงกว่ากันมากหากเจอกับกรณีนี้ เจ้าของที่ดินตาบอด สามารถขอสิทธิเปิดทางจำเป็น ผ่านที่ดินแปลงอื่นซึ่ งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้ และอาจต้องใช้ค่าทดแทน แก่เจ้าของที่ดินที่ผ่านด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445 ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com                         

                                           ***************************************


3. กรรมสิทธิ์คืออะไร (3 of 15)ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ได้ให้สิทธิแก่ผู้ที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ซึ่งมีสิทธิ์ในทรัพย์สินของตนเองในการจำหน่ายได้รับดอกผล ติดตามเอาคืนทรัพย์สินนั้นจากบุคคลอื่นที่ไม่มีสิทธิจะยึดถือเอาไว้รวมทั้งขัดขวางมิให้ผู้อื่นเข้ามาเกี่ยวข้องโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่อย่างไรก็ตามเจ้าของทรัพย์สินนั้นก็ต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายเช่นเดียวกัน เพราะการเป็นเจ้ากรรมสิทธิ์นั้น ในบางกรณีก็ต้องตกอยู่ในข้อจำกัดสิทธ์ของกฎหมาย และในบางกรณีก็ต้องไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลอื่นในการใช้สิทธิ์ในทรัพย์สินของตนด้วย
อยู่กรุงเทพ ปรึกษาทนายกรุงเทพ 099 464 4445 ค้นหาทนายความได้ที่เวปไซต์นี้: www.ทนายกรุงเทพ.com

                                             ***************************************


4. การครอบครอบปรปักษ์ที่ดิน (4 of 15)
ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ได้บัญญัติหลักไว้ว่า บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี สำหรับสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปี บุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์โดยปกติมักเข้าใจว่าการครอบครองปรปักษ์มีได้เฉพาะที่ดินเท่านั้น แต่ในความจริงการครอบครองปรปักษ์นั้น มีได้ทั้งอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ แต่ต่างกันเฉพาะระยะเวลาการครอบครอง เหตุที่กฎหมายบัญญัติเช่นนี้ ก็เพราะกฎหมายมีความประสงค์ที่จะให้เจ้าของทรัพย์ เช่น ผู้มีที่ดิน มีหน้าที่ต้องดูแลรักษาทำประโยชน์เกี่ยวกับทรัพย์ของตน มิใช่ปล่อยปะละเลยไม่ดูแลทำประโยชน์ หากมีผู้อื่นเข้าครอบครองทำประโยชน์โดยสงบ เปิดเผยและแสดงความเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาตามที่กฎหมายกำหนดบุคคลที่ครอบครองนั้น ก็จะได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นซึ่งเป็นการได้มาโดยผลแห่งกฎหมาย ดังนั้นผู้ที่มีทรัพย์จะต้องหมั่นดูแลทรัพย์สินของตน รวมทั้งทำประโยชน์ตามสมควรด้วยมิฉะนั้นท่านอาจเสียสิทธิ์ตามบทบัญญัติดังกล่าวได้
มีคดีที่ศาลใหน ปรึกษาทนายใกล้ศาลนั้น 089 227 1177 ค้นหาทนายใกล้ศาลได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้ศาล.com

                                        ***************************************


5. ที่ดินตาบอด (5 of 15)
ที่ดินตาบอด เป็นภาษาที่นิยมพูดกัน กล่าวคือ เป็นที่ดินของบุคคลหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ถูกล้อมรอบด้วยที่ดินแปลงอื่นของเจ้าของอื่นจนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ซึ่งกฎหมายได้ให้สิทธิ์ผู้ที่มีที่ดินที่ถูกล้อมรอบนั้น มีสิทธิ์ผ่านที่ดินที่ถูกล้อมรอบออกสู่ทางสาธารณะได้ ตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 อย่างไรก็ตามการใช้ทางออกสู่ทางสาธารณะนั้น กฎหมายก็ให้เจ้าของที่ดินที่ใช้ทางนั้น จะต้องทำให้เกิดความเสียหายแก่ที่ดินที่ล้อมรอบนั้นให้น้อยที่สุด และใช้ได้เท่าที่จำเป็น หากบางกรณีเจ้าของที่ดินที่ถูกล้อมรอบเมื่อใช้ทางแล้ว อาจจะต้องจ่ายค่าทดแทนเพื่อความเสียหายแก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมรอบด้วยทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตกลงร่วมกัน
อยู่กรุงเทพ ปรึกษาทนายกรุงเทพ 02 114 7521 ค้นหาทนายความได้ที่เวปไซต์นี้: www.ทนายกรุงเทพ.com

                                        ***************************************


6. สิทธิของการซื้อทรัพย์โดนสุจริตในท้องตลาด (6 of 15)
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332 ได้ให้การคุ้มครองบุคคลที่ซื้อทรัพย์สินมาจากการขายทอดตลาด หรือซื้อทรัพย์สินจากท้องตลาดจากพ่อค้าที่ขายทรัพย์สินนั้นโดยสุจริต อาทิ ซื้อรถจากแหล่งขายรถที่ประกอบกิจการเป็นประจำโดยถูกต้องตามกฎหมาย เป็นต้น ในกรณีนี้ผู้ซื้อทรัพย์สินนั้นไม่ต้องคืนทรัพย์สินให้แก่บุคคลที่เป็นเจ้าของที่แท้จริง ยกเว้นบุคคลที่เป็นเจ้าของนั้นจะยอมชดใช้ราคาที่ซื้อมามีคดีที่ศาลใหน
ปรึกษาทนายใกล้ศาลนั้น 089 227 1177 ค้นหาทนายใกล้ศาลได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้ศาล.com

                                        ***************************************


7. การสร้างที่อยู่อาศัยที่ที่ดินของคนอื่นโดยไม่สุจริต (7 of 15)
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1311 ได้บัญญัติหลักไว้ว่า บุคคลใดสร้างโรงเรือนในที่ดินของบุคคลอื่นโดยไม่สุจริต บุคคลนั้นจะต้องทำที่ดินให้เป็นไปตามเดิมแล้วส่งคืนเจ้าของที่ดิน เว้นแต่เจ้าของที่ดิน จะเลือกให้ส่งคืนตามที่เป็นอยู่ แต่เจ้าของที่ดินจะต้องใช้ราคาโรงเรือนหรือใช้ค่าที่ดินเพียงที่เพิ่มขึ้นเพราะการสร้างโรงเรือนแล้วแต่จะเลือก ก็สามารถจะอธิบายได้ว่า หากไปสร้างโรงเรือน เช่น ไปสร้างบ้านในที่ดินของคนอื่น โดยรู้อยู่แล้วไม่ใช่ที่ดินของเรา เมื่อเจ้าของที่ดินเขารู้ในภายหลังเจ้าของที่ดินมีสิทธิ์ที่จะสั่งให้บุคคลที่ไปสร้างโรงเรือน รื้อถอนโรงเรือนที่ปลูกสร้างแล้วทำให้ที่ดินอยู่ในสภาพดังเดิม แต่หากว่าเจ้าของที่ดินต้องการให้โรงเรือนที่สร้างอยู่ในสภาพเดิม เจ้าของที่ดินจะต้องชดใช้เงินในส่วนราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้น เพราะการสร้างโรงเรือน ก็คือ เดิมราคาที่ดินหนึ่งล้านบาท เมื่อสร้างโรงเรือนในที่ดิน ที่ดินพร้อมโรงเรือนมีราคาหนึ่งล้านห้าแสนบาท เจ้าของที่ดินจะต้องใช้ราคาโรงเรือนนั้นในราคาห้าแสนบาท หากต้องการโรงเรือนให้คงอยู่ในที่ดิน สิทธิดังกล่าว แล้วแต่เจ้าของที่ดินจะเลือก ผู้ที่ไปสร้างโรงเรือนไม่มีสิทธิ์
มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 089 226 8899 ค้นหาทนายใกล้คุณได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้คุณ.com

                                       ***************************************


8. บ้านหรือสิ่งปลูกสร้างที่ตั้งอยู่บนที่ดิน (8 of 15)
บ้านหรือสิ่งปลูกสร้างที่ตั้งอยู่บนที่ดิน โดยปกติจะต้องเป็นส่วนควบของที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 144 โดยสภาพของบ้านถือเป็นจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น และเป็นสาระสำคัญแห่งทรัพย์นั้น แต่ก็มีข้อยกเว้นตามมาตรา146 บ้านหรือสิ่งปลูกสร้างชั่วคราวหรือเจ้าของที่ดินอนุญาตให้ปลูกสร้างได้ ไม่ถือว่าเป็นส่วนควบของที่ดินนั้น แต่ถ้าไปปลูกสร้างบ้านในที่ดินของคนอื่นโดยเจ้าของไม่ยินยอม บ้านนั้นถือว่าเป็นส่วนควบของที่ดินและเป็นสิทธิของเจ้าของที่ดินนั้นได้และอาจจะถือว่าเป็นการบุกรุกที่ดินของคนอื่นอีกกรณีหนึ่งด้วยหมวดกฎหมายว่าด้วยทรัพย์และทรัพย์สิน

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445 ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com                   

                                        ***************************************


9. ความหมายของคำว่าทรัพย์หรือทรัพย์สิน (9 of 15)
เกิดเป็นมนุษย์ก็อยากมีทรัพย์หรือทรัพย์สินกันทั้งนั้น แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจคำว่าทรัพย์และทรัพย์สิน ตามประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 137 บัญญัติหลักว่า ทรัพย์ หมายถึง วัตถุที่มีรูปร่าง และมาตรา 138 ให้ความหมายว่า ทรัพย์สิน ก็คือ ทรัพย์ที่มีรูปร่างและไม่มีรูปร่าง ซึ่งอาจมีราคาและอาจเข้าถือเอาได้สรุปความหมายได้ว่า ทรัพย์สิน ก็คือ สิ่งที่มีรูปร่างหรือไม่มีรูปร่างที่มนุษย์เข้ายึดถืออย่างเป็นเจ้าของซึ่งอาจมีราคาได้ เช่น ที่ดิน รถยนต์ ดินสอ ปากกา เป็นต้น สำหรับส่วนที่ไม่สามารถเข้ายึดถือได้ เช่น แสงแดด สายลม แม้จะมีคุณค่ามากมาย แต่ยังไม่ถือว่าเป็นทรัพย์หรือทรัพย์สินตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ ซึ่งหากมนุษย์รู้จักดัดแปลงแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานแล้วจัดเก็บพลังงานไว้ใช้ถือว่าเข้าครอบครองตัวพลังงานนั้น ตัวพลังงานดังกล่าวก็เป็นทรัพย์สินที่มีราคาและถือว่ามีเจ้าของเช่นกัน
มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 089 226 8899 ค้นหาทนายใกล้คุณได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้คุณ.com

                                       ***************************************


10. สีของพญาครุฑ บอกอะไร (10 of 15)
เรื่องใกล้ตัวบางครั้งเราก็มองข้าม เฉกเช่น ครุฑบนเอกสารบนที่ดินที่มีอยู่ติดบ้าน โดยมีทั้งครุฑสีแดงครุฑสีเขียว และครุฑสีดำ ซึ่งครุฑแต่ละสีสื่อความหมายต่างกันในทางกฎหมาย ดังนี้
1) ครุฑสีแดง หมายถึง โฉนดที่ดิน (น.ส.4) ซึ่งสามารถซื้อ - ขาย - โอนได้ตามกฎหมาย ยกเว้น โฉนดหลังแดง ซึ่งจะมีข้อความระบุด้านหลัง ว่า “ห้ามโอน” ภายใน 5 - 10ปี
2) ครุฑสีเขียว หมายถึง หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ซึ่งออกให้ในท้องที่ที่มีระวางภาพถ่ายทางอากาศ
3) ครุฑสีดำ หมายถึง หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 และ น.ส.3 ข.) ซึ่งไม่มีระวางภาพถ่ายทางอากาศ
เมื่อทราบแล้ว รีบไปดูโฉนดของที่ดินบ้านท่านว่าเป็นครุฑสีอะไร เพราะแสดงออกว่าท่านมีสิทธิมากน้อยเพียงใดในผืนดินเหล่านั้น

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445 ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com  

                                         ***************************************


11. เจ้าหนี้เงินกู้ยึดโฉนดไว้ เอาคืนได้มั้ย (11 of 15)
การทำสัญญากู้ยืมเงินที่มีการทำหนังสือสัญญาลงลายมือชื่อทั้งสองฝ่ายทั้งผู้ให้ยืมและผู้ยืม ซึ่งหนังสือสัญญานี้จะเขียนใส่กระดาษธรรมดาก็ไม่มีปัญหาประการใด และหากเจ้าหนี้นำเอาที่ดินของลูกหนี้มาจดจำนอง ซึ่งถ้าลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามกำหนดก็สามารถยึดที่ดินแทนการชำระหนี้ได้ แต่หากลูกหนี้นำเอาแต่โฉนดที่ดินมาให้เจ้าหนี้ยึดไว้เท่านั้น กรณีนี้หากเจ้าหนี้ทำเพียงหนังสือสัญญากู้ยืมเงิน และรับโฉนดที่ดินไว้แต่ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะมีผลเท่าเป็นการ “จำนำโฉนด” ซึ่งเป็นเพียงเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินของลูกหนี้เท่านั้น ไม่ได้มีผลเป็นการ “จำนอง” ซึ่งลูกหนี้อาจไปขอออกโฉนดใหม่ได้และโฉนดที่ดินไม่ได้มีมูลค่าทางเศรษฐกิจใดๆ ที่จะยึดมาชำระหนี้ได้ ดังนั้น อย่าลืมนำโฉนดไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่มิเช่นนั้นจะเป็นเพียง “จำนำโฉนด” นั่นเอง เพราะโฉนดที่ดิน คือ กระดาษ ไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์อันจะจำนองได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 714 ที่บัญญัติให้การจำนองอสังหาริมทรัพย์ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
อยู่กรุงเทพ ปรึกษาทนายกรุงเทพ 02 114 7521 ค้นหาทนายความได้ที่เวปไซต์นี้: www.ทนายกรุงเทพ.com

                                      ***************************************


12. ซื้อที่ดิน สปก. (12 of 15)
ที่ดิน สปก. เป็นที่ดินที่รัฐยกให้เกษตรกรเพื่อใช้เป็นที่ดินทำกิน ไม่สามารถซื้อขายได้ แต่เป็นมรดกตกทอดได้ แต่สภาพความเป็นจริงที่ดิน สปก. หลายๆ พื้นที่มีการแอบซื้อขายกัน ทั้งนี้ พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดิน เพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 มาตรา 39 ระบุว่า ที่ดินที่บุคคลได้รับสิทธิโดยการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม จะ ทำการแบ่งแยก หรือโอนสิทธิในที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นมิได้ เว้นแต่เป็นการตกทอดทางมรดกแก่ทายาทโดยธรรมหรือโอนไปยังสถาบันเกษตรกร หรือ ส.ป.ก. เพื่อประโยชน์ในการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ทั้งนี้ ให้เป็นไป ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวงภายในเขตปฎิรูปที่ดิน และหากมีการซื้อ - ขายที่ดิน สปก. ถือเป็นการกระทำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 ซึ่งจะทำให้การซื้อขายนั้นเป็นโมฆะ อีกทั้งมาตรา 411 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ยังกำหนดผลต่อไปว่า ผู้ซื้อไม่อาจเรียกเงินคืนได้จากการชำระหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445 ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com     

                                          ***************************************


13. ขายฝากที่ดินอย่างไร (ผู้ขาย) ไม่เสียเปรียบ (13 of 15)
กฎหมายขายฝากมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเมื่อปี 2562 เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมระหว่างคู่สัญญา เพื่อไม่ให้เอาเปรียบซึ่งกันและกันครับ เหตุที่มีการแก้กฎหมายเพราะมีข้อพิพาทขึ้นสู้ศาลเยอะซึ่งศาลก็จะพิจารณาและพิพากษาตามตัวบทกฎหมาย แต่เมื่อเห็นว่าเป็นปัญหาของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน สส.ก็จะนำปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเข้าสู้สภาผู้แทน ผ่านกระบวนการต่างจนมีการแก้ไขเป็น พรบ.คุ้มครองประชาชนในการทำสัญญาขายฝากที่ดินเพื่อการเกษตรหรือที่อยู่อาศัย พศ.2562 สรุปได้ใจความตามนี้
• สัญญาขายฝากต้องมีระยะเวลาไถ่ถอน 1-10 ปี• ผู้ขายฝากสามารถใช้ประโยชน์หรืออยู่ได้ถึงวันสิ้นสุดการไถ่• การขยายเวลาไถ่ถอนต้องทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย• หากผู้ซื้อฝากงอแงไม่ยอมให้ไถ่ถอน ให้ผู้ขายฝากเอาเงินไปวางต่อสำนักงานวางทรัพย์หรือสำนักงานที่ดินทั่วประเทศ• ขยายเวลาไถ่ถอนอัตโนมัติ ถ้าผู้ซื้อฝากไม่ส่งหนังสือแจ้งเป็นไปรษณีย์ตอบรับถึงการไถ่ถอนก่อนวันสิ้นสุดการไถ่ถอนไม่น้อยกว่า 3 เดือน แต่ต้องไม่เกิน 6 เดือน• ไถ่ถอนหรือวางเงินแล้วให้ถือว่ากรรมสิทธิ์โอนกลับมาเป็นของผู้ขายฝากทันที ต้องไถ่ถอนภายในกำหนดระยะเวลาเท่านั้น• ไถ่ถอนเกินเวลาแต่อยู่ภายใน 6 เดือน ให้ผู้ขายฝากรับรองว่าผู้ซื้อฝากมิได้ทำหนังสือแจ้งผู้ขายฝากเรื่องวันครบกำหนดมาจดทะเบียนไถ่ถอนด้วย

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445 ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com  

                                         ***************************************


14. หมุดเขตเดินได้ (14 of 15)
“อสังหาริมทรัพย์" ตามความเข้าใจของหลายท่าน หมายถึง ทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ ซึ่งตามความหมายนั้นถูกต้องอย่างแน่แท้ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะที่ดินนั้น มักจะยืดได้ ขยายได้หรือเล็กลงได้ อันมาจากสาเหตุ “หมุดที่ดินเดินได้” จากบุคคลบางกลุ่มที่เคลื่อนย้าย ทำลาย หรือแม้กระทั่งถอนจนนำมาสู่การทะเลาะเบาะแว้งและคดีความต่างๆ ทั้งนี้ทั้งนี้ พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 67 และมาตรา 109 ได้กำหนดข้อห้ามไม่ให้ผู้ใดนอกจากพนักงานเจ้าหน้าที่ทำลายดัดแปลง เคลื่อนย้าย ถอดถอนหลักหมายเขต หรือหมุดหลักฐานเพื่อการแผนที่นั้นไปจากที่เดิม เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานที่ดิน ซึ่งหากฝ่าฝืนจะมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือทั้งปรับทั้งจำ
มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้คุณได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้คุณ.com

                                          ***************************************


15. จำนองที่ดินเป็นหลักประกันหนี้ (15 of 15)
ในกรณีที่มีการให้ยืมเงินเป็นจำนวนมากในระดับร้อยล้านหรือพันล้าน การจะนำทรัพย์สินของลูกหนี้ เช่น แหวน นาฬิกา คงมีมูลค่าไม่พอชำระหนี้ ทั้งนี้ ในการให้กู้ยืมเงินในจำนวนมากนั้น นอกจากจะต้องมีหนังสือสัญญากู้ยืมเงินแล้ว ยังต้องให้ลูกหนี้นำเอาอสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดินมาจำนองประกันหนี้ โดยต้องนำโฉนดไปจดทะเบียนจำนองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่อำเภอ หรือสำนักงานที่ดิน เมื่อมีที่ดินของลูกหนี้มาเป็นหลักประกันแล้ว เจ้าหนี้ก็สามารถเบาใจได้ว่าหนี้จะไม่สูญเปล่า การจำนองคือ หลักประกันหนี้ชั้นเยี่ยม ต่อให้ลูกหนี้ขายที่ดินที่จำนอง เจ้าหนี้ก็ตามไปบังคับยึดมาชำระหนี้ได้ และที่ดินคือทรัพย์สินที่มีแต่ราคาจะเพิ่มขึ้น เหตุนี้ท่านจึงกลายเป็นเจ้าหนี้ชั้นเยี่ยม มั่นคง ปลอดภัยที่สุดทั้งนี้ เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 702 ที่บัญญัติไว้ว่า การจํานองนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่าผู้จํานองเอาทรัพย์สินตราไว้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้รับจํานอง เป็นประกันการชําระหนี้โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจํานองและตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 714 ที่บัญญัติให้การจำนองอสังหาริมทรัพย์ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
มีคดีที่ศาลใหน ปรึกษาทนายใกล้ศาลนั้น 089 227 1177 ค้นหาทนายใกล้ศาลได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้ศาล.com

                                   ***************************************

กฎหมายเช่าซื้อ

กฎหมายเช่าซื้อ

1. รถหายต้องแจ้งความ

2. รถหายต้องผ่อนต่อหรือไม่

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com
                                                          *********************************

 

1. การซื้อรถต้องใช้เงินก้อนใหญ่ ดังนั้น เมื่อเงินไม่พอก็ต้องใช้วิธีการเช่าซื้อรถกับไฟแนนซ์ เมื่อได้รถแล้วก็ต้องผ่อนชำระค่าเช่าซื้อกันเป็นงวดๆ แต่สำหรับผู้เช่าซื้อบางรายโชคไม่ดี รถที่เช่าซื้อหายหรือถูกยักยอกไป แต่เมื่อไปแจ้งความร้องทุกข์ เจ้าหน้าที่หลายๆ ท่านแจ้งว่า ต้องได้ใบมอบอำนาจมาจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ถึงจะ แจ้งความได้

จากกรณีดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) ระบุว่า “ผู้เสียหาย” หมายถึง บุคคลผู้ได้รับความเสียหาย เนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทน และในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8980/2555 ตัดสินว่า แม้โจทก์ร่วมเป็นเพียงผู้เช่าซื้อรถ แต่ผู้เช่าซื้อย่อมมีสิทธิ

ครอบครองใช้ประโยชน์จากรถที่เช่าซื้อและมีหน้าที่ต้องส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนแก่ผู้ให้เช่าซื้อหากมีกรณีต้องส่งคืน เมื่อมีผู้ยักยอกรถนั้นไป โจทก์ร่วมย่อมได้รับความเสียหาย โจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์และขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้โดยไม่จำต้องได้รับมอบอำนาจจากผู้ให้เช่าซื้อ

และการที่ผู้ให้เช่าซื้อมอบอำนาจให้โจทก์ร่วมไปร้องทุกข์ก็ถือได้ว่า โจทก์ร่วมร้องทุกข์ในฐานะที่ตนเป็นผู้เสียหายด้วย ดังนั้น ไม่ว่าผู้ลงชื่อในฐานะผู้ให้เช่าซื้อในหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ร่วมไปร้องทุกข์จะเป็นผู้มีอำนาจลงชื่อหรือเป็นเจ้าของรถที่แท้จริงหรือไม่ และหนังสือมอบอำนาจมีข้อความถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ก็ไม่มีผลลบล้างการที่โจทก์ร่วมร้องทุกข์ในฐานะที่ตนเป็นผู้เสียหาย แม้โจทก์และโจทก์ร่วมมิได้นำบันทึกและหลักฐานการรับคำร้องทุกข์มานำสืบ แต่จำเลยก็เบิกความยอมรับว่าโจทก์ร่วมไปร้องทุกข์จริง กรณีนี้จึงถือได้ว่า โจทก์ร่วมร้องทุกข์โดยชอบ พนักงานสอบสวนย่อมมีอำนาจสอบสวน โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

ดังนั้น หากรถหาย แต่เราเป็นเพียงผู้เช่าซื้อยังไม่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ก็สามารถแจ้งหายได้

 

อยู่กรุงเทพ ปรึกษาทนายกรุงเทพ 099 464 4445
ค้นหาทนายความได้ที่เวปไซต์นี้: www.ทนายกรุงเทพ.com

                                                      **************************************

 

2. การซื้อรถต้องใช้เงินก้อนใหญ่ ดังนั้น เมื่อเงินไม่พอก็ต้องใช้วิธีการเช่าซื้อรถกับไฟแนนซ์ เมื่อได้รถแล้วก็ต้องผ่อนชำระค่าเช่าซื้อกันเป็นงวดๆ แต่สำหรับผู้เช่าซื้อบางรายโชคไม่ดี รถที่เช่าซื้อหายหรือถูกยักยอกไป แต่เมื่อไปแจ้งความร้องทุกข์ เจ้าหน้าที่หลายๆ ท่านแจ้งว่า ต้องได้ใบมอบอำนาจมาจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ถึงจะ แจ้งความได้

จากกรณีดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) ระบุว่า “ผู้เสียหาย” หมายถึง บุคคลผู้ได้รับความเสียหาย เนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทน และในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8980/2555 ตัดสินว่า แม้โจทก์ร่วมเป็นเพียงผู้เช่าซื้อรถ แต่ผู้เช่าซื้อย่อมมีสิทธิ

ครอบครองใช้ประโยชน์จากรถที่เช่าซื้อและมีหน้าที่ต้องส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนแก่ผู้ให้เช่าซื้อหากมีกรณีต้องส่งคืน เมื่อมีผู้ยักยอกรถนั้นไป โจทก์ร่วมย่อมได้รับความเสียหาย โจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์และขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้โดยไม่จำต้องได้รับมอบอำนาจจากผู้ให้เช่าซื้อ

และการที่ผู้ให้เช่าซื้อมอบอำนาจให้โจทก์ร่วมไปร้องทุกข์ก็ถือได้ว่า โจทก์ร่วมร้องทุกข์ในฐานะที่ตนเป็นผู้เสียหายด้วย ดังนั้น ไม่ว่าผู้ลงชื่อในฐานะผู้ให้เช่าซื้อในหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ร่วมไปร้องทุกข์จะเป็นผู้มีอำนาจลงชื่อหรือเป็นเจ้าของรถที่แท้จริงหรือไม่ และหนังสือมอบอำนาจมีข้อความถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ก็ไม่มีผลลบล้างการที่โจทก์ร่วมร้องทุกข์ในฐานะที่ตนเป็นผู้เสียหาย แม้โจทก์และโจทก์ร่วมมิได้นำบันทึกและหลักฐานการรับคำร้องทุกข์มานำสืบ แต่จำเลยก็เบิกความยอมรับว่าโจทก์ร่วมไปร้องทุกข์จริง กรณีนี้จึงถือได้ว่า โจทก์ร่วมร้องทุกข์โดยชอบ พนักงานสอบสวนย่อมมีอำนาจสอบสวน โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

ดังนั้น หากรถหาย แต่เราเป็นเพียงผู้เช่าซื้อยังไม่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ก็สามารถแจ้งหายได้

 

อยู่ต่างจังหวัด ปรึกษาทนายความในจังหวัดของคุณ 099 464 4445
ค้นหาทนายความในจังหวัดของคุณได้ที่เวปไซต์นี้: www.ทนายใกล้คุณ.com

                                                         ***************************************

กฎหมายอาวุธปืน

กฎหมายเรื่องปืน

1. ควงปืนไปในเขตชุมชน

2. พกปืนต้องมีมบอนุญาตพกปืนนะครับ

3. ปืนหาย ต้องไปแจ้งความนะครับ

4. ปืนมีไว้เพื่อป้องกันตัว

5. เสือปืนไว

6. ปืนเถื่อน

7. จี้ด้วยปืนปลอม

8. ยิงปืนขึ้นฟ้า

9. พกปืน-ยิงปืน

10. ปืนผิดมือ

ขอบคุณข้อมูลจากเพจรู้หมดกฎหมาย

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445
ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com
                                            ***************************

 

1. ควงปืนไปในเขตชุมชน (1 of 10)

อาวุธปืนเป็นสิ่งหนึ่งที่กฎหมายควบคุมอย่างเข้มงวดในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะซื้อ มีไว้ในครอบครอง ตลอดจนการพกพาไปในสถานที่ต่างๆ ด้วย เนื่องจากอาจเกิดเหตุที่เป็นภัยกับผู้อื่นได้ แม้ว่าเราจะมีทั้งใบอนุญาตให้มีปืน และใบอนุญาตให้พกปืนแล้วก็ตาม แต่กฎหมายก็ยังมีข้อห้ามไว้สำหรับการนำอาวุธปืนออกมาพกอย่างเปิดเผย ในที่ชุมนุมชน อย่างเช่น งานประเพณี มหรสพ หรืออื่น ซึ่งอาจทำให้เกิด ความหวาดกลัวขึ้นได้ ยกเว้นแต่จะเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย หรือรักษาสินทรัพย์ของทางรัฐ ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียม อาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ วรรค 2 ประกอบมาตรา 72 ทวิ วรรค 2 กำหนดโทษของผู้ที่มิใช้เจ้าพนักงานหรือผู้ที่กฎหมายอนุญาตแต่พกอาวุธปืน อย่างเปิดเผยในสาธารณะว่า ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 1,000 บาท ถึง 10,000 บาท

 

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445
ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com
                                                ***************************

 

2. พกปืนต้องมีมบอนุญาตพกปืนนะครับ (2 of 10)

แม้ว่าคนที่มีครอบครองปืน จะได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ได้ตาม กฎหมายแล้ว แต่กฎหมายก็ไม่อนุญาต ให้พกปืนออกไปนอกสถานที่ได้ อย่างเสรี เพราะว่าอาจก่ออันตราย ต่อบุคคลอื่นขึ้นได้ การจะนำปืนติดตัวไปนั้นจำเป็น จะต้องมีใบพกพาใบพกพาทั่วราชอาณาจักร หรือในเขตจังหวัด (ป.12) ซึ่งผู้ใด ประสงค์มีใบพกพาต้องยื่นคำร้อง ต่อเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต และผู้ได้รับใบพกปืนจำเป็นต้องมี คุณสมบัติตามระเบียบที่กระทรวง มหาดไทยกำหนด ตัวอย่างเช่น เป็นเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่ ควบคุมทรัพย์สินของรัฐบาล ข้าราชการ ตั้งแต่หัวหน้าแผนกหรือเทียบเท่าขึ้นไป ผู้มีหน้าที่ในการปราบปรามหรือ การปฏิบัติงานในการฝ่าอันตราย อย่างไรก็ ตามสำหรั บผู้ครอบครองปืน ที่มิใช่เจ้าหน้าที่ที่มีใบอนุญาตพกปืน แต่มีเหตุเร่งด่วนตามสมควรแก่เหตุ เช่น คุณสมศักดิ์เพิ่งขายสินค้าได้เงิน มาหลายแสนบาทและจำเป็นต้อง นำไปฝากธนาคารซึ่งอยู่ห่างไกล อันเป็นเส้นทางที่มีโจรผู้ร้ายชุกชุม จึงพกปืนที่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย โดยไม่มีใบอนุญาตพกพา การกระทำดังกล่าวอาจอ้างได้ว่าเพราะเป็น ความจำเป็นและเร่งด่วน

แต่หากใครฝ่าฝืนหรือพกปืน โดยไม่เข้าข้อยกเว้นดังกล่าว ถือว่ามี ความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 72 ทวิ วรรค 2 จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท

 

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445
ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com
                                          ***************************

 

3. ปืนหาย ต้องไปแจ้งความ (3 of 10)

เมื่อเรามีอาวุธปืนไว้ในครอบครองแล้ว นอกจากจะต้องใช้อย่างรับผิดชอบแล้ว ก็จะต้องเก็บรักษาอาวุธปืนไว้ในที่ปลอดภัยและแน่นหนา นอกจากนี้ผู้ที่มีอาวุธปืน ไว้ในครอบครองก็จำเป็นที่จะต้องศึกษาพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 ให้เข้าใจถึงหน้าที่ และข้อผูกพันตามกฎหมายให้ดี เพราะกฎหมายจะกำหนดว่าต้องทำอย่างไรบ้าง เมื่อสถานการณ์หนึ่งๆ เกิดขึ้น

หากว่านาย ก.ครอบครองอาวุธปืนอย่างถูกกฎหมาย แต่อยู่มาวันหนึ่งก็ได้พบว่า อาวุธปืนนั้นหายไป หาเท่าไรก็ไม่พบ สิ่งที่จะต้องทำนอกเหนือจากไปแจ้งความ เจ้าหน้าที่ตำรวจว่าทรัพย์สินซึ่งคืออาวุธปืนสูญหายแล้ว ก็ยังต้องไปแจ้งเหตุ และส่งมอบใบอนุญาตครอบครองอาวุธปืนนั้นต่อนายทะเบียนในท้องที่ ซึ่งตนอยู่อาศัย หรือท้องที่ที่ปืนนั้นสูญหาย ทั้งนี้ นาย ก.จะต้องดำเนินการภายใน 15 วัน นับตั้งแต่ทราบเรื่อง ถ้าหาก ไม่ปฏิบัติตาม จะมีความผิดตาม มาตรา 21 และรับโทษตามมาตรา 83 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท

 

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445
ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com
                                            ***************************

 

4. ปืนมีไว้เพื่อป้องกันตัว (4 of 10)

สังคมปัจจุบันที่เราไว้วางใจ คนแปลกหน้าไม่ได้ ไม่รู้ว่าเป็นผู้ร้าย หรือผู้ดี ทำให้บางครั้งเราก็อยากจะมี อาวุธไว้ป้องกันตัวเอง คนในครอบครัว และทรัพย์สินของเรา ให้ปลอดจาก ผู้ที่มามุ่งร้าย โดยเฉพาะอาวุธปืน อย่างไรก็ตาม อาวุธปืนเป็นสิ่งที่ สามารถทำอันตรายผู้อื่นให้บาดเจ็บ สาหัสหรือถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยและสุขสงบ ของสังคม จึงต้องมีกฎหมาย มาควบคุมการซื้อขาย ครอบครอง และการใช้อาวุธปืนอย่างเข้มงวด

ปืนถือเป็นอาวุธที่อาจเป็นอันตรายได้ จึงต้องมีกฎหมายมาเกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับคน ในสังคม ดังนั้นหากต้องการมีอาวุธปืน ไว้ป้องกันตัว ต้องแจ้งจดทะเบียนต่อ เจ้าหน้าที่พนักงานตามพระราชบัญญัติ อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7 ทั้งนี้ หากฝ่าฝืน ไม่แจ้งเจ้าหน้าที่พนักงาน ต้องระวางโทษ

จำคุก 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000- 20,000 บาท ตามมาตรา 72 วรรคแรก

 

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445
ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com
                                              ***************************

 

5. เสือปืนไว (5 of 10)

สุภาษิตโบราณกล่าวไว้ว่า “เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้” น่าจะใช้ได้ดีกับพฤติกรรมของวัยรุ่นบางกลุ่มในสมัยนี้ที่มีการจับกลุ่มทะเลาะวิวาทตามที่เห็นจากสื่อต่างๆ โดยเฉพาะพวกเสือปืนไวหรือชอบชักปืน โชว์อาวุธในการต่อสู้ เพราะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 379 กล่าวไว้ว่า “ผู้ใดชักหรือแสดงอาวุธในการวิวาทต่อสู้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 วัน หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” ซึ่งอาวุธในที่นี้หมายถึง อาวุธทุกชนิด ทั้งสิ่งที่ไม่เป็นอาวุธโดยสภาพ เช่น คัทเตอร์ มีดพับ และรวมไปถึงอาวุธโดยสภาพ เช่น ดาบ หอก ปืน และจะผิดตามมาตรา 379 ได้ต้องมีองค์ประกอบ 2 ส่วน ดังนี้ 1) ชักหรือโชว์อาวุธ 2) เป็นสถานการณ์ สมัครใจทะเลาะวิวาทกันทั้ง 2 ฝ่าย

 

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445
ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com
                                              ***************************

 

6. ปืนเถื่อน (6 of 10)

กฎหมายเกี่ยวกับอาวุธปืน ถือเป็นข้อกฎหมายที่ประชาชนที่มีอาวุธปืนมักทำผิดได้บ่อย เนื่องจากมี หลายข้อหาเกี่ยวพันกัน ซึ่งหากบุคคลใดมีอาวุธปืนไว้ในการครอบครองแต่เป็นอาวุธปืนที่ไม่มีทะเบียน หรือ ที่เรียกว่า ‘ปืนเถื่อน’ ต้องระวางโทษจำคุก 1 ปี - 10ปี และปรับตั้งแต่ 2,000 - 20,000 บาท ซึ่งเป็นไป ตามมาตรา 7 ประกอบมาตรา 72 แห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445
ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com
                                               ***************************

7. จี้ด้วยปืนปลอม (7 of 10)

โจรผู้ร้ายบางคนใช้จิตวิทยาขู่ให้คนกลัว โดยการปล้นจี้โดยไม่ได้ใช้มีด หรือปืนจริง แต่กลับใช้อาวุธเทียม หรืออาวุธปลอมไปก่ออาชญากรรม ซึ่งกรณีนี้จะมีความผิดอย่างไรนั้น กฎหมายสามัญประจำบ้านมีคำตอบ

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 ระบุว่า ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใดหรือ จำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือ จำยอมต่อสิ่งนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากเป็นการกระทำโดยมีอาวุธ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ตามมาตรา 309 วรรค 2

ซึ่งศาลเคยตัดสินในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5161/2533 ว่า การที่จำเลยใช้ลูกกุญแจจี้ที่เอวผู้เสียหายแล้วดึงปากกาเขียนแบบกับดินสอ ซึ่งเหน็บอยู่ที่สมุดของผู้เสียหายไปนั้น เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาใช้ลูกกุญแจดังกล่าวอย่างอาวุธ และมีเจตนาให้ผู้เสียหายเกิดความเกรงกลัวไม่กล้าขัดขืน ถือได้ว่าเป็นการข่มขืนใจผู้เสียหาย ให้จำยอมตามความประสงค์ของจำเลย โดยทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ หรือทรัพย์สิน จำเลยจึงมีความผิดฐานทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพโดยใช้อาวุธ

 

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445
ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com
                                                ****************************

8. ยิงปืนขึ้นฟ้า (8 of 10)

เชื่อว่าหลายๆ ท่าน คงจะเห็นภาพจนชินตากับการยิงปืนขึ้นฟ้าในช่วงเทศกาลต่างๆ แต่รู้หรือไม่ว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 376 ระบุว่า ผู้ใดยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมืองหมู่บ้าน หรือที่ชุมนุมชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 วัน หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นอกจากนี้ ศาลฎีกายังเคยตัดสินในคำพิพากษาฎีกา ที่ 3452/2546 ว่าจำเลยยิงปืนขึ้นฟ้าหนึ่งนัด แม้จะเป็นเพียงการทดสอบว่าอาวุธปืนของกลางนั้นจะยังใช้ได้อยู่หรือไม่ก็ตาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในหมู่บ้านตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 376 แล้ว

 

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445
ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com
                                                  *****************************

 

9. พกปืน - ยิงปืน (9 of 10)

การมีใบอนุญาตครอบครองปืนและลูกกระสุนปืนนั้น จำกัดเพียงการอนุญาตมีไว้เพื่อครอบครองเท่านั้น แต่การพกพาไปไหนมาไหนไม่สามารถทำได้ตามอำเภอใจ การจะยิงปืนก็เช่นกัน ทั้งนี้ หากพกพาอาวุธปืนโดยไม่มีใบอนุญาตต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีหรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งเป็นไปตามมาตรา8 ทวิวรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 72 ทวิวรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490

อีกทั้งในตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 376 ระบุว่า การยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 วัน หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ดังนั้น ใครที่มีใบอนุญาตพกปืนก็ยังต้องระวังว่า การพกปืนไปไหนมาไหน หรือการยิงปืนโดยไม่มีเหตุผล อันสมควรอาจติดคุกหรือถูกปรับได้

 

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445
ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com
                                                *****************************

 

10. ปืนผิดมือ (10 of 10)

นอกจากการที่มีอาวุธไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่จะผิดกฎหมายแล้ว การที่มีอาวุธปืนที่ได้รับใบอนุญาตแต่เป็นของผู้อื่นไว้ในครอบครอง หรือที่เรียกว่า ‘ปืนผิดมือ’ ถือเป็นความผิดเช่นกัน ซึ่งต้องระวางโทษจำคุก 6 เดือน – 5 ปี และปรับตั้งแต่ 1,000 – 10,000 บาท ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 7 ประกอบมาตรา 72 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490

นอกจากนี้ การมีเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต (กระสุนไม่ถูกขนาดกับปืนที่ได้รับอนุญาต) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 8ประกอบมาตรา 72 ทวิวรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ

 

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445
ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com

                                                       ****************************

กฎหมายแรงงาน

กฎหมายแรงงาน

1. จ้างแรงงานกับจ้างทำของ แตกต่างกันอย่างไร

2. ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง

3. คนทำงานต้องเสียภาษี

4. ตกงาน อย่าตกใจ

5. แรงงานเถื่อน นายจ้างควรระวัง

6. เลิกจ้างโดยลูกจ้าง

7. นายจ้างไม่จ่ายเงินเดือน ลูกจ้างควรทำอย่างไร

8. สิทธิของลูกจ้างหลังเลิกจ้าง

9. ประกันสังคมที่นายจ้างต้องปฎิบัติ

10. เงินทดแทน

11. นายจ้างเรียกหลักค้ำประกันการทำงานของลูกจ้างได้หรือไม่

12. ลูกจ้างอยากทำงานล่วงเวลาเกิน 36 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ได้หรือไม่

13. อยากทำธุรกิจจัดหางานต้องทำอย่างไร

14. ทำธุรกิจจัดหางานเถื่อนมีโทษหนัก

 

ขอบคุณข้อมูลจากเพจรู้หมดกฎหมาย
มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com
                                           *********************************

1. จ้างแรงงานกับจ้างทำของ แตกต่างกันอย่างไร (1 of 14)

การจ้างแรงงาน คือ สัญญาซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่าลูกจ้างตกลงทำงานให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่านายจ้าง โดยที่ลูกจ้างต้องอยู่ในการกำกับดูแลภายใต้การบังคับบัญชาของนายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้ค่าจ้างเป็นค่าตอบแทนตลอดเวลาที่ทำงานให้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 575 นอกจากนี้ การจ้างแรงงานต้องอยู่ภายใต้ข้อบังคับตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พุทธศักราช 2541 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของลูกจ้างที่พึงได้ตามกฎหมายอีกด้วย

สำหรับการจ้างทำของ คือ สัญญาของบุคคลหนึ่งเรียกว่าผู้รับจ้าง ตกลงจะทำงานสิ่งหนึ่งสิ่งใด จนสำเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสำเร็จของงานนั้นดังนั้นการจ้างทำของ เป็นกรณีที่ต้องการผลความสำเร็จของงาน โดยผู้ว่าจ้างจะจ่ายค่าตอบแทนให้เมื่อผู้รับจ้างทำงานที่ว่าจ้างสำเร็จ ทั้งนี้ ผู้รับจ้างทำงานไม่ต้องอยู่ในการบังคับบัญชาของผู้ว่าจ้างแต่อย่างใด เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 587

 

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445
ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com
                                           *********************************

 

 

2. ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง (2 of 14)

นายจ้าง เป็นผู้ที่รับลูกจ้างเข้าทำงานและจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างโดยตรงนอกจากนี้ พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พุทธศักราช 2541 ยังกำหนดให้บุคคลที่มีอำนาจกระทำการแทนนายจ้าง ซึ่งอาจจะเป็นกรรมการผู้จัดการ หุ้นส่วนผู้จัดการ รวมทั้งบุคคลที่นายจ้างมอบหมายให้ดำเนินการต่างๆ โดยมีอำนาจบังคับบัญชาแทนนายจ้าง ย่อมถือว่าเป็นนายจ้างด้วยเช่นกัน แต่หากคำสั่งที่ได้มอบหมายจากนายจ้างขัดต่อกฎหมาย ย่อมถือว่าคำสั่งนั้นเป็นคำสั่งของนายจ้างโดยตรง

สำหรับลูกจ้าง หมายถึง บุคคลผู้ซึ่งตกลงทำงานให้นายจ้าง โดยรับค่าจ้างเป็นการตอบแทน ทั้งนี้ลูกจ้างต้องเป็นบุคคลธรรมดาเท่านั้น ห้ามเป็นการจ้างนิติบุคคล หรือองค์กร ไม่ว่าจะเป็นลูกจ้างชั่วคราวลูกจ้างประจำ และไม่ว่าจะมีกำหนดระยะเวลาการจ้างหรือไม่ก็ตาม ผู้เป็นลูกจ้างจะได้รับคุ้มครองจากพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานเช่นกัน

 

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com
                                             *********************************

 

 

3. คนทำงานต้องเสียภาษี (3 of 14)

หน้าที่สำคัญอย่างหนึ่งของประชาชนไทยที่มีรายได้ ก็คือจะต้องเสียภาษี ให้กับรัฐบาล เพื่อที่รัฐบาลจะนำเอาเงินนั้นไปบำรุงและพัฒนาประเทศ บางคนคิดว่าเรื่องภาษี หรือตัวเลขเป็นเรื่องยุ่งยากวุ่นวาย ไม่อยากเกี่ยวข้อง หรือคิดไม่เป็นไม่รู้ว่าจะต้องจ่ายยังไงหรือเท่าไร ที่จริงการเสียภาษีนั้นก็เหมือนกับข้อกฎหมายอื่นๆ ที่ ประชาชนก็ ควรต้องมี ความรู้และปฏิบัติตามอย่างถูกต้องด้วย ตามประมวลกฎหมายรัษฎากร มาตรา 40 (1) นั้นได้กำหนดและจำแนก รายละเอียดของเงินได้หรือรายได้ที่จะต้องเสียภาษีไว้อย่างละเอียด อาทิ เงินได้ จากการจ้างแรงงาน ทั้งพนักงานในธุรกิจเอกชน และภาครัฐบาล เงินได้เกิดจากการ จ้างแรงงานที่มีคู่สัญญาระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง โดยมีกำหนดระยะเวลาจ้าง โดยลูกจ้างตกลงทำงานให้แก่นายจ้าง หรือหุ้นที่บริษัทแจกให้กับพนักงานก็ต้อง นำมาคิดเป็นเงินได้ที่ต้องประเมินภาษีด้วย

 

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com
                                              *********************************

 

4. ตกงาน อย่าตกใจ (4 of 14)

มนุษย์เงินเดือนก็มีความหวังอยู่ที่เมื่องานทำแล้วก็ได้จะได้เงินเดือนมาเลี้ยงปาก เลี้ยงท้องตัวเองรวมทั้งคนในครอบครัว บางคนก็เอามาจ่ายหนี้ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในชีวิต แต่ถ้าเกิดเหตุที่ทำให้ต้องตกงานโดยไม่ทันตั้งตัว ก็อย่าเพิ่งตกใจจนเกินเหตุ เพราะระหว่างทำงานลูกจ้างทุกคนจะต้องจ่ายค่าประกันสังคมกับสำนักงาน ประกันสังคมไว้

หากต้องตกงานก็สามารถใช้สิทธิขอรับเงินช่วยเหลือจากกองทุนประกันสังคมได้ ตามข้อกำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน พ.ศ. 2547 ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ซึ่งมีรายละเอียดการให้ ความช่วยเหลือแตกต่างกันไป ซึ่งก็จะทำให้เรามีเงินจำนวนหนึ่งมารองรังสำหรับ การเริ่มต้นครั้งใหม่ ไม่ว่าจะเป็นหางานใหม่ หรือคิดจะทำอะไรด้วยตัวเอง

ดังนั้นเรื่องประกันสังคมจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ เมื่อยังมีงานทำก็ควรจะทราบสิทธิ์ ของเราตรงนี้เอาไว้

 

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com
                                            *********************************

 

 

5. แรงงานเถื่อน นายจ้างควรระวัง (5 of 14)

แม้จะเป็นช่วงเวลาแห่งการเข้าสู่ยุคการค้าเสรีระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียน แต่แรงงานต่างด้าวที่เข้ามาในเมืองยังต้องอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ดังนั้นหากใครสนับสนุนให้แรงงานต่างด้าวเข้ามาโดยผิดกฎหมาย ตามมาตรา 64 ซึ่งกำหนดบทลงโทษไว้ว่า ผู้ที่ รู้ว่าคนต่างด้าวคนใดเข้ามาในราชอาณาจั กรโดยฝ่าฝืน กฎหมายแล้วให้ที่พักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใดๆ แก่บุคคล ต่างด้าวนั้น เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 50,000 บาท

ใครจะรับแรงงานต่างชาติเข้ามาควรศึกษากฎหมายให้ดีด้วย

 

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com
                                        *********************************

 

6. เลิกจ้างโดยลูกจ้าง (6 of 14)

การจ้างแรงงานระหว่างลูกจ้างและนายจ้างไม่จำเป็นต้องทำเป็นหนังสือแต่อย่างใด เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ ซึ่งการจ้างแรงงานเป็นสัญญาต่างตอบแทน เมื่อลูกจ้างทำงานให้นายจ้าง ลูกจ้างก็ต้องได้รับค่าจ้างเป็นการตอบแทน โดยทั้งสองฝ่ายต่างมีความพึงพอใจต่อกัน หากฝ่ายใดประสงค์จะเลิกสัญญาก็แสดงเจตนาให้อีกฝ่ายหนึ่งรับรู้

ส่วนการเลิกจ้าง ลูกจ้างจะมีสิทธิได้รับค่าทดแทนตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานเป็นจำนวนเท่าใด ก็เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาในอีกกรณีหนึ่ง ถึงแม้จะมีข้อบังคับของนายจ้างว่า ลูกจ้างต้องบอกล่วงหน้าก่อนลาออกอย่างน้อย 30 วัน ก็ไม่สามารถบังคับลูกจ้างให้ปฏิบัติได้ แต่หากลูกจ้างจงใจหรือเจตนาละทิ้งงานทำให้นายจ้างเสียหาย ก็เป็นเรื่องที่นายจ้างจะต้องดำเนินการฟ้องร้องตามกฎหมายอีกกรณีหนึ่ง ดังนั้นการที่ลูกจ้างไม่ประสงค์ทำงานให้นายจ้าง จึงเป็นเรื่องของความสมัครใจซึ่งไม่สามารถบังคับกันได้ เมื่อลูกจ้างแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาจ้างเพียงฝ่ายเดียวสัญญาจ้างแรงงานก็สิ้นสุด

 

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com
                                       *********************************

 

7. นายจ้างไม่จ่ายเงินเดือน ลูกจ้างควรทำอย่างไร (7 of 14)

 

มนุษย์เงินเดือนหรือคนทำงานโดยทั่วไปก็ต้องมุ่งหวังว่าเมื่อทำงานให้เขาแล้ว ถึงเวลาที่ได้ตกลงกันเอาไว้ก็ต้องได้รับค่าจ้างเป็นค่าตอบแทนการทำงานนั้นๆ เพื่อนำไปเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แต่ก็มักมีกรณีเกิดขึ้นอยู่เนืองๆ ที่ลูกจ้างไม่ได้รับ เงินเดือนหรือค่าตอบแทนการทำงานตามสิทธิ์ที่ควรจะได้รับจากนายจ้าง หรืออาจเป็นการทำงานวันหยุดไม่ได้ค่าล่วงเวลา หรืออาจถึงขั้นให้ออกจากงาน โดยไม่จ่ายเงินชดเชย

สิทธิโดยชอบธรรมของลูกจ้างนั้นมีระบุไว้ในกฎหมายคุ้มครองแรงงานอยู่แล้ว ดังนั้น ผู้ที่ประสบปัญหาเหล่านี้สามารถไปยื่นคำร้องพนักงานตรวจแรงงาน ในพื้นที่สถานที่ทำงาน ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 123 หรือใช้สิทธิ์ฟ้องศาลแรงงานเพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นธรรม โดยที่ศาลนี้จะดำเนินการพิจารณาคดีเป็นไปอย่างรวดเร็ว

 

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com
                                         *********************************

 

8. สิทธิของลูกจ้างหลังเลิกจ้าง (8 of 14)

 

โดยปกติแล้ว สัญญาจ้างแรงงานจะมีบทบัญญัติอยู่ทั้งในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานพุทธศักราช 2541 แต่ถ้าข้อกฎหมายใดบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานพุทธศักราช 2541 แล้ว จะไม่นำข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้กับสัญญาจ้างแรงงานระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างอีก เนื่องจากพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานเป็นกฎหมายพิเศษ

นอกจากนี้กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้มีข้อปฏิบัติอีก 2 ประการ ที่ไม่ได้ระบุไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พุทธศักราช 2541 ซึ่งข้อปฏิบัติดังกล่าวกำหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับใบสำคัญ หรือใบรับรองการทำงานจากนายจ้างเมื่อการจ้างแรงงานสิ้นสุดลง และในกรณีที่นายจ้างนำลูกจ้างมาจากต่างถิ่น นายจ้างต้องใช้ค่าเดินทางกลับให้แก่ลูกจ้างด้วยเมื่อการจ้างแรงงานสิ้นสุดลง

 

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com
                                          *********************************

 

9. ประกันสังคมที่นายจ้างต้องปฎิบัติ (9 of 14)

เมื่อเข้าไปทำงานในองค์กรเอกชน สิ่งที่พนักงานและลูกจ้างควรจะทราบไว้ เพื่อรักษาสิทธิของตนเองคือการยื่นแบบประกันสังคมของนายจ้าง เพราะทุกสถานที่ประกอบการเมื่อรับลูกจ้างเข้าทำงานใหม่ นายจ้างจะต้องดำเนินการยื่นแบบรายชื่อลูกจ้างที่รับเข้ามาภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ลูกจ้างนั้นเป็นผู้ประกันตน หรือทำงานในหน่วยงาน หากนายจ้างไม่ยื่นแบบภายในกำหนดเวลาดังกล่าวถือว่านายจ้างผู้นั้นได้กระทำผิดต่อพระราชบัญญัติประกันสังคม พุทธศักราช 2533 มาตรา 34 ประกอบมาตรา 96 วรรค 1 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินหก เดือนปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

ปัจจุบันผู้ประกันตนได้รับสิทธิประโยชน์มากมายจากการนำเงินส่งประกันสังคม โดยสิทธิประโยชน์ที่ได้รับจากการหักเงินนำส่งของนายจ้าง ซึ่งนายจ้างจะออกให้อีกเท่าหนึ่งของลูกจ้างที่ได้หักเพื่อนำส่งไว้ สิทธิที่ลูกจ้างจะได้รับ นอกจากจะเป็นค่ารักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วยไข้ หรือได้รับอุบัติเหตุ ผู้ประกันตนยังได้รับเงินบำเหน็จหรือบำเหน็จจากการเกษียณอายุ 55 ปี เมื่อผู้ประกันตนส่งเงินสมทบครบ 15 ปีของการทำงานอีกด้วย เพราะฉะนั้นการยื่นแบบแสดงเงินเดือนของลูกจ้างที่นายจ้างพึงกระทำจะต้องตรงกับความจริงที่ได้จ่ายเงินค่าจ้างให้กับลูกจ้างรายนั้น แต่หากนายจ้างรายใดไม่ต้องการจะจ่ายเงินสมทบมาก ก็จะแจ้งข้อมูลเป็นเท็จในแบบแสดงรายการที่ยื่น เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายส่วนต่างที่ทางกฎหมายกำหนดไว้ หากเป็นเช่นนี้ถือว่า นายจ้างรายนั้นได้กระทำผิดพระราชบัญญัติประกันสังคม พุทธศักราช 2533 มาตรา 34 ประกอบมาตรา 94 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com
                                            *********************************

 

10. เงินทดแทน (10 of 14)

การเจ็บป่วยเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งของการดำรงชีวิต บุคคลใดที่ไม่เจ็บป่วยถือว่าเป็นลาภอันประเสริฐ ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แต่มนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักรที่ร่างกายจะทนแดด ทนฝน หรือทนการใช้แรงงานอย่างหามรุ่งหามค่ำได้ ต้องมีภาวะเจ็บป่วยเป็นของธรรมชาติ ดังนั้นหากขาดการดูแลสุขภาพร่างกาย หรือเกิดอันตรายในระหว่างการทำงาน และขาดการพักผ่อนที่เพียงพอหรือสภาพร่างกายที่ไม่พร้อมทำงานแต่ยังฝืนทำจนได้รับอันตรายหรือไปเจ็บป่วยในสถานที่ทำงาน ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ ตามกฎหมายให้นายจ้างรักษาพยาบาลทันทีตามความเหมาะสมแก่อันตรายหรือความเจ็บป่วยนั้น และให้นายจ้างจ่ายค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงหรือตามความจำเป็น ตามกฎหมายที่กำหนด แต่หากนายจ้างรายใดไม่จัดให้ลูกจ้างซึ่งประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยได้รับการรักษาพยาบาลตามกฎหมายแล้ว ถือว่านายจ้างผู้นั้นได้กระทำผิดพระราชบัญญัติเงินทดแทน พุทธศักราช 2537 มาตรา 13 ประกอบมาตรา 62 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

 

ขึ้นชื่อว่ามนุษย์เงินเดือนแล้ว หลายๆ คนก็อยากจะทำงานกับบริษัทที่มีสวัสดิการที่ดี แต่บริษัทที่ให้สวัสดิการอย่างครบครันยังไม่ครอบคลุมทุกธุรกิจ แต่อย่างหนึ่งที่ทุกบริษัทจะต้องจัดทำคือการนำส่งแบบลงทะเบียนและแบบรายการแสดงรายชื่อลูกจ้างและจ่ายเงินสมทบต่อสำนักงานแห่งท้องที่ที่นายจ้างยื่นแบบลงทะเบียนจ่ายเงินสมทบไว้ หากนายจ้างหรือธุรกิจใดไม่ยื่นแบบดังกล่าวภายในสามสิบวันนับแต่วันที่นายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินสบทบถือว่า นายจ้างรายนั้นได้กระทำผิดพระราชบัญญัติเงินทดแทน พุทธศักราช 2537 มาตรา 44 ประกอบมาตรา 62 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com
                                             *********************************

 

11. นายจ้างเรียกหลักค้ำประกันการทำงานของลูกจ้างได้หรือไม่ (11 of 14)

นายจ้างมีสิทธิเรียกหลักค้ำประกันจากลูกจ้างหรือผู้เข้าทำงานได้ หากหน้าที่หรือความรับผิดชอบของลูกจ้างมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินทอง หรือทรัพย์สินของนายจ้างที่เล็งเห็นแล้วว่าอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้ แต่ถ้าหากหน้าที่ความรับผิดชอบของลูกจ้างไม่มีความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดความเสียหาย ซึ่งนายจ้างได้เรียกหรือรับหลักค้ำประกันการทำงาน หรือหลักประกันการเสียหายในการทำงาน หรือแม้แต่การค้ำประกันด้วยบุคคลจากลูกจ้างโดยมิชอบ ถือว่านายจ้างได้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พุทธศักราช 2541 มาตรา 10 ประกอบมาตรา 144 มีโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com
                                            *********************************

 

12. ลูกจ้างอยากทำงานล่วงเวลาเกิน 36 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ได้หรือไม่ (12 of 14)

การทำงานล่วงเวลา มีความหมายว่าการทำงานนอกเหนือ หรือเกินเวลาทำงานปกติ หรือเกินชั่วโมงทำงานในแต่ละวันที่นายจ้างตกลงกันในวันทำงาน หรือวันหยุดแล้วแต่กรณี ซึ่งการที่นายจ้างไม่อาจอนุญาตให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาได้ตามความต้องการ เนื่องจากพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พุทธศักราช 2541 มาตรา 24, 25, 26 และ 144 ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาเกินสัปดาห์ละ 36 ชั่วโมง หากนายจ้างรายใดฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com
                                          *********************************

 

13. อยากทำธุรกิจจัดหางานต้องทำอย่างไร (13 of 14)

อาชีพนายหน้าจัดหางาน มีหน้าที่ในการสรรหาบุคคลากรที่มีฝีมือและตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการธุรกิจต่างๆ ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจรับจัดหางานจะต้องได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หากผู้ใดฝ่าฝืนถือเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พุทธศักราช 2528 มาตรา 8 ประกอบมาตรา 73 มีโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com
                                         *********************************

 

14. ทำธุรกิจจัดหางานเถื่อนมีโทษหนัก (14 of 14)

ที่ผ่านมามีการนำเสนอข่าวกรณีนายหน้าหรือบริษัทจัดหางานเถื่อนหลอกลวงให้ไปทำงานต่างประเทศ และมีประชาชนหลงเชื่อเป็นจำนวนมาก ซึ่งการกระทำดังกล่าวนี้ถือเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พุทธศักราช 2528 มาตรา 91 ตรี ในฐานความผิดหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางาน หรือสามารถส่งไปฝึกงานในต่างประเทศ และได้ไปซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่หกหมื่นถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com
                                         *********************************

 

 

กฎหมายจราจร

กฎหมายจราจร

1. จอดรถล้ำเส้น

2. จอดรถขวาง

3. ขี่หรือขับรถย้อนศร

4. ปลอมป้ายทะเบียนรถ

5. ขี่รถปาดหน้า

6. จอดรถในที่ห้ามจอด

7. ใช้โทรศัพท์ในขณะขับขี่

8. บรรทุกสิ่งของน่าจะทำให้เกิดอันตราย

9. ชอบแต่หรือดัดแปลงรถ

10. ขับรถเร็วกว่าที่กฎหมายกไหนด

11. เปลี่ยนสีรถ

12. รถรับจ้างปฏิเสธไม่รับผู้โดยสาร

13. ขับรถโดยสาร ไม่จอดป้าย

ขอบคุณเพจรู้หมดกฎหมายที่เผยแพร่ข้อมูลทางด้านกฎหมาย

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ www.ทนายใกล้คุณ.com
                                          ************************************

 

1. จอดรถล้ำเส้น (1 of 13)

การขับขี่รถตามสัญญาณไฟจราจร ถือเป็นการกระทำที่ถูกต้องและควรยึดถือปฏิบัติ แต่มีบางกรณีที่ผู้ขับขี่หยุดรถ ล้ำเส้นหยุดที่กฎหมายกำหนด ซึ่งการกระทำดังกล่าวนอกจากจะ ก่อให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนแล้ว ยังส่งผลให้ผู้ขับขี่ต้อง เสียค่าปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท ในฐานความผิดหยุดรถล้ำเส้นหยุด ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พุทธศักราช 2522 มาตรา 22, 24 และ 152


มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ www.ทนายใกล้คุณ.com
                                           ************************************

 

2. จอดรถขวาง (2 of 13)

สภาพการจราจรที่ติดขัดในสังคมเมืองปัจจุบัน อาจส่งผลให้ ผู้ขับขี่บนท้องถนนต้องขับขี่ด้วยความรวดเร็วแข่งขันกับเวลา และ ไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ โดยเฉพาะการจราจร บริเวณแยกใหญ่ที่ผู้ขับขี่ต่างเร่งเครื่องยนต์เพื่อให้ผ่านพ้นแยก ดังกล่าว แต่ด้วยการจราจรที่หนาแน่นส่งผลให้รถไม่สามารถ ผ่านไปได้และไปจอดขวางแยกเป็นเหตุให้การเดินรถอีกฝั่ง ไม่สามารถเดินรถได้ การกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติจราจรทางบก พุทธศักราช 2522 มาตรา 55 (4) และ 148 มีโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท

 

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ www.ทนายใกล้คุณ.com

                                             ************************************

3. ขับรถย้อนศร (3 of 13)

อุบัติเหตุทางจราจรที่เกิดขึ้นสาเหตุหนึ่งมาจากการที่ผู้ขับขี่ รถยนต์ - รถจักรยานยนต์ ฝ่าฝืนกฎจราจรในลักษณะขับขี่ย้อนศร โดยไม่ขับตามช่องทางจราจรที่ทางกรมการขนส่งทางบกได้กำหนด ไว้ให้ ซึ่งผู้ขับขี่ที่กระทำการดังกล่าวถือเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติจราจรทางบก พุทธศักราช 2522 มาตรา 41 และ 148 มีโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท

3 กระทรวงยุติธรรม กฎหมายสามัญประจำบ้าน


มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ www.ทนายใกล้คุณ.com

                                               ************************************

4. ปลอมป้ายทะเบียนรถ (4 of 13)

พาหนะที่ใช้ขับขี่บนท้องถนนต้องเป็นพาหนะที่ได้แจ้ง จดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก และได้รับป้ายทะเบียนประจำพาหนะดังกล่าวอย่างถูกต้องจากกรมการขนส่งทางบกเท่านั้น แต่มีผู้ขับขี่บางรายที่ทำการปลอมแปลงป้ายทะเบียนรถที่ลักขโมยมา เพื่อลักลอบส่งขาย หรือ เจตนาปลอมแปลงป้ายทะเบียนขึ้น แทนการแจ้งจดทะเบียนอย่างถูกต้องนั้น ถือว่าบุคคลนั้นได้ทำผิด ต่อพระราชบัญญัติรถยนต์ พุทธศักราช 2522 มาตรา 11 ที่ กำหนดไว้ว่ารถที่จดทะเบียนแล้วต้องมีและแสดงแผ่นป้ายและ เครื่องหมายครบถ้วนถูกต้องตามที่กำหนดในกฎกระทรวง หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกินสองพันบาท ตามมาตรา 60


มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ www.ทนายใกล้คุณ.com

                                                 ************************************

5. ขับขี่รถปาดหน้า (5 of 13)

เรื่องการขับรถถือเป็นเรื่องมารยาททางสังคม บางท่านอาจเคยมี ประสบการณ์ถูกผู้ขับขี่รถยนต์คันอื่นขับรถปาดหน้า แซงในระยะกระชั้นชิด หรือแซงในพื้นที่เส้นทึบ ดังนั้น การใช้รถใช้ถนนจึงควร พึงระมัดระวังไม่ให้กระทำผิดพระราชบัญญัติจราจรทางบก พุทธศักราช 2522 มาตรา 46 ที่ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถแซงเพื่อ ขึ้นหน้ารถอื่นในกรณีต่อไปนี้ (1) เมื่อรถกำลังขึ้นทางชัน ขึ้นสะพาน หรืออยู่ในทางโค้ง เว้นแต่จะมีเครื่องหมายจราจรให้แซงได้ (2) ภายในระยะสามสิบเมตรก่อนถึงทางข้าม ทางร่วม ทางแยก วงเวียนหรือเกาะที่สร้างไว้ หรือทางเดินรถที่ตัดข้ามทางรถไฟ (3) เมื่อมีหมอก ฝน ฝุ่นหรือควัน จนทำให้ไม่อาจเห็นทางข้างหน้าได้ ในระยะหกสิบเมตร (4) เมื่อเข้าที่คับขันหรือเขตปลอดภัย หากฝ่าฝืนมีโทษปรับตั้งแต่สี่ร้อยบาทถึงหนึ่งพันบาท ตามมาตรา 157


มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ www.ทนายใกล้คุณ.com

                                                  ************************************


6. จอดรถในที่ห้ามจอด (6 of 13)

ปัจจุบันปริมาณรถยนต์มีอัตราเพิ่มขึ้นสวนทางกับ เส้นทางการเดิ นรถ และปริ มาณที่ จอดรถที่ มี อยู่เท่าเดิม ส่งผลให้ ผู้ขับขี่รถยนต์บางรายจำเป็นต้องจอดรถในพื้นที่ห้ามจอด เช่น บนทางเท้า บริเวณทางข้าม บริเวณที่มีเครื่องหมายห้ามจอดรถ ฯลฯ หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท ตามพระราชบัญญัติ จราจรทางบก พุทธศักราช 2522 มาตรา 57 ประกอบมาตรา 148

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ www.ทนายใกล้คุณ.com

                                                   ************************************



7. ใช้โทรศัพท์ในขณะขับขี่ (7 of 13)

อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนท้องถนนในปัจจุบัน สาเหตุสำคัญ ประการหนึ่งเกิดจากความประมาทของผู้ขับขี่ โดยเฉพาะ ผู้ขับขี่ที่ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ขณะขับรถซึ่งส่งผลให้สมาธิในการ ขับขี่ลดลง จนก่อให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้ พระราชบัญญัติ จราจรทางบก พุทธศักราช 2522 มาตรา 43 จึงกำหนดให้ผู้ที่ ใช้โทรศัพท์ขณะขับขี่ยานพาหนะ มีโทษปรับตั้งแต่สี่ร้อยบาท ถึงหนึ่งพันบาท


มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ www.ทนายใกล้คุณ.com

                                                   ************************************

8. บรรทุกสิ่งของก่อให้เกิดอันตราย (8 of 13)

ผู้ขับขี่รถบรรทุกสำหรับบรรทุกคน สัตว์ หรือสิ่งของทุกชนิด จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ในการป้องกันมิให้ คน สัตว์ หรือสิ่งของที่ บรรทุกตกหล่น รั่วไหล ส่งกลิ่น ส่องแสงสะท้อน หรือปลิวไปจากรถ อันอาจก่อเหตุเดือดร้อน รำคาญ ทำให้ทางสกปรกเปรอะเปื้อน ทำให้เสื่อมเสียสุขภาพอนามัยแก่ประชาชน หรือก่อให้ เกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน หากผู้ขับขี่คนใดละเลย ข้อกำหนดดังกล่าวมีโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท ตามพระราชบัญญัติ จราจรทางบก พุทธศักราช 2522 มาตรา 20 ประกอบมาตรา 148


มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ www.ทนายใกล้คุณ.com

                                                ************************************

9. ชอบแต่งรถดัดแปลงรถ (9 of 13)

รถยนต์แต่งซิ่งโดยส่วนใหญ่นิยมปรับแต่งท่อไอเสียรถยนต์ ให้มีเสียงดังเกินมาตรฐาน และอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อน รำคาญแก่ผู้ใช้รถใช้ถนน ทั้งนี้ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พุทธศักราช 2522 มาตรา 9 ห้ามมิให้ผู้ใดนำรถที่เกิดเสียงอื้ออึง หรือมีสิ่งลากถูไปบนทางเดินรถมาใช้ในทางเดินรถ หากฝ่าฝืน มีโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท ตามมาตรา 148

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ www.ทนายใกล้คุณ.com

                                                ************************************

10. ขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด (10 of 13)

เทคโนโลยีที่ทันสมัยส่งผลให้การบริการหรือการตรวจจับ การกระทำผิดกฎหมายสามารถทำได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ที่เห็นได้ชัดคือ การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการตรวจจับความเร็ว และบันทึกภาพผู้ขับขี่ที่กระทำผิดวินัยจราจร ดังนั้น หากพบหลักฐาน ว่าผู้ขับขี่รายใดขับรถด้วยความเร็วเกินกว่าอัตราที่กำหนดใน กฎกระทรวงหรือเกินกว่าอัตราที่กำหนดไว้ในเครื่องหมายจราจร มีโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พุทธศักราช 2522 มาตรา 67

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ www.ทนายใกล้คุณ.com

                                                ************************************

11. เปลี่ยนสีรถ (11 of 13)

โรงงานผลิตรถยนต์โดยส่วนใหญ่ จะผลิตรถยนต์ตามสีมาตรฐาน หรือสียอดนิยมตามความต้องการของท้องตลาด เช่น สีขาว สีดำสีบรอนซ์เงิน เป็นต้น แต่ในกรณีที่ผู้ครอบครองรถไม่พึงพอใจในสีรถเดิมตามมาตรฐานโรงงาน สามารถนำรถยนต์ของตนไปเปลี่ยนสีใหม่ตามความต้องการได้ แต่ต้องไม่ลืมดำเนินการแจ้งการเปลี่ยนแปลงสีรถยนต์ต่อนายทะเบียนภายใน 7 วัน นับแต่วันที่มีการเปลี่ยนแปลง หากเกินกำหนด หรือไม่ดำเนินการให้เรียบร้อย มีโทษปรับไม่เกินสองพันบาท ตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พุทธศักราช 2522 มาตรา 13 ประกอบ มาตรา 60

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ www.ทนายใกล้คุณ.com

                                                 ************************************

12. รถรับจ้างปฎิเสธรับผู้โดยสาร (12 of 13)

หลายๆ ท่าน อาจเคยได้รับทราบข่าวการปฏิเสธรับผู้โดยสาร หรือปล่อยผู้โดยสารกลางทางของรถยนต์รับจ้างสาธารณะจากหน้าหนังสือพิมพ์ สื่อโทรทัศน์ ฯลฯ หรืออาจเคยได้รับประสบการณ์โดยตรงถูกรถยนต์รับจ้างสาธารณะปฏิเสธรับ - ส่งผู้โดยสาร ซึ่งการกระทำดังกล่าวของผู้ขับรถยนต์รับจ้างสาธารณะถือเป็นการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พุทธศักราช 2522 มาตรา 57 ประกอบ มาตรา 60 มีโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท เว้นแต่การบรรทุกนั้นน่าจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้ขับขี่ หรือแก่ผู้โดยสาร จึงสามารถปฏิเสธไม่ให้บริการรับ - ส่งผู้โดยสารได้

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ www.ทนายใกล้คุณ.com

                                                  ************************************

13. ขับรถประจำทาง ไม่จอดป้ายโดยสาร (13 of 13)

ประชาชนส่วนใหญ่นิยมใช้บริการโดยสารรถประจำทางสาธารณะ เนื่องจากมีความสะดวก และประหยัดค่าเดินทาง อย่างไรก็ตาม ยังพบปัญหากรณีที่รถโดยสารประจำทางไม่จอดป้ายรับ - ส่งผู้โดยสารบริเวณป้ายหยุดรถประจำทางที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ อาจมีสาเหตุมาจากพนักงานขับรถมักขับรถเลนขวาสุด หรือใช้ความเร็วสูง ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พุทธศักราช 2522 มาตรา 105 ประกอบมาตรา 127 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ www.ทนายใกล้คุณ.com

                                                    ************************************

 

 

กฎหมายหมิ่นประมาท

กฎหมายหมิ่นประมาท

1. องค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาท

2. ความผิดฐานหมิ่นประมาท

3. การรับผิดฐานหมิ่นประมาททางแพ่ง

4. กล่าวหาคนตาย อาจกลายเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท

5. ด่าว่าผู้เสียชีวิต ก็ผิดได้

6. ชอบโพสต์ ชอบแชร์ ระวังจะแย่ที่หลัง

7. ขาเมาท์ อย่าเอาแค่มัน

 

ขอบคุณข้อมูลจากเพจรู้หมดกฎหมาย
มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com
*********************************

 

1. องค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาท (1 of 7)

มนุษย์ เป็นสัตว์สังคมที่มีการติดต่อสื่อสารระหว่าง แต่บางครั้งการสื่อสารนั้นอาจเป็นการกล่าวถึงบุคคล ที่สาม หรือที่เรียกว่า ‘นินทา’ แต่รู้หรือไม่ว่า พฤติกรรมการนินทาผู้อื่นอาจจะทำให้ถูกฟ้องหมิ่นประมาทได้ เพราะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 บัญญัติว่า ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ทั้งนี้ องค์ประกอบหมิ่นประมาทผู้อื่นต้องมี 3 ส่วนครบถ้วน ดังนี้ 1) ใส่ความผู้อื่น 2) ต่อบุคคลที่สาม และ 3) การใส่ความนั้นน่าจะทำให้ผู้อื่นเสียหายเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง จึงจะมีความผิดฐาน หมิ่นประมาท


มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com
*********************************

 

2. ความผิดฐานหมิ่นประมาท (2 of 7)

มนุษย์ในสังคมย่อมมีข้อขัดแย้งโต้เถียงกันเป็นเรื่องธรรมชาติของคนหมู่มากแต่หากมีบุคคลหนึ่งใส่ความ หรือกล่าวให้ร้ายผู้อื่นต่อบุคคลที่สามในทางที่เสียหายเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง กฎหมายได้บัญญัติให้บุคคลที่จงใจกระทำผิดต้องรับโทษทางอาญา ฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com
*********************************

 

3. การรับผิดฐานหมิ่นประมาททางแพ่ง (3 of 7)

การหมิ่นประมาท โดยการใส่ความหรือให้ร้ายผู้อื่นให้ได้รับความเสียหายเกี่ยวกับชื่อเสียง และส่งผลกระทบต่อการประกอบอาชีพ ตลอดจนความเจริญก้าวหน้าในชีวิต ผู้เสียหายสามารถใช้สิทธิฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 423 วรรคหนึ่ง ทั้งนี้ การกระทำที่จะต้องรับผิดฐานหมิ่นประมาทในทางแพ่งจะต้องเป็นการใส่ความในเรื่องที่ไม่เป็นความจริง เพราะหากเป็นความจริงไม่สามารถเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งได้นอกจากนี้การรับผิดทางแพ่งนั้นไม่จำเป็นต้องมีเจตนาใส่ร้ายหรือใส่ความคนอื่นแม้เป็นการกระทำด้วยความประมาทเลินเล่อก็ต้องรับผิดเช่นกัน

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com
*********************************

 

4. กล่าวหาคนตาย อาจกลายเป็นหมิ่นประมาท (4 of 7)

นอกจากการไปทำกิริยาที่ไม่เหมาะสม เช่น ด่าทอ หรือเหยียดหยาม ผู้ตายซึ่งผู้กระทำก็ต้องรับโทษไปแล้ว หากมีการกระทำที่มากกว่านั้น จนถึงขั้นเป็นการใส่ความผู้ตาย ต่อบุคคลที่สาม ซึ่งการใส่ความนั้น น่าจะเป็นเหตุให้บิดามารดาคู่สมรส หรือบุตรของผู้ตายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง เช่น กล่าวหาว่าผู้ตายเสียชีวิต เพราะโรคเอดส์ และยังกล่าวหาว่าภรรยาของผู้ตายที่ยังมีชีวิตอยู่ติดเอดส์ด้วย การกล่าวหาในลักษณะเช่นนี้ ส่งผลให้ ภรรยาและคนในครอบครัวถูกสังคม รังเกียจ จึงสามารถใช้สิทธิฟ้องร้อง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 327 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com
*********************************

 

5. ด่าว่าผู้เสียชีวิต ก็ผิดได้ (5 of 7)

แม้ว่าบุคคลที่เสียชีวิตไปแล้วจะไม่มีสิทธิลุกขึ้นตอบโต้กับใครได้ แต่ก็ยังได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายในกรณีที่มีผู้ไม่พอใจไปทำกิริยาหรือพูดจา ด้วยถ้อยคำหยาบคาย ในลักษณะด่าทอหรือเหยียดหยามผู้เสียชีวิตด้วยเหตุผลส่วนตัว เช่น ไม่พอใจเรื่องแบ่งมรดกจึงไปยืนด่าศพที่ตั้งสวดอยู่บนศาลาภายในวัด

การกระทำดังกล่าวถือว่ามีความผิดตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล กฎหมายอาญา (ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2558 ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 366/4 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com
*********************************

 

6. ชอบโพสต์ ชอบแชร์ ระวังจะแย่ที่หลัง (6 of 7)

ในโลก Social Media (โซเชี่ยลมีเดีย) มักมีการส่งต่อ ที่เรียกว่า Share (แชร์) โดยเฉพาะภาพตัดต่อบุคคลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีชื่อเสียง ดาราชื่อดัง หรือแม้กระทั่งคนธรรมดาที่เรารู้จักมาส่งต่อให้เพื่อนๆ ดูกัน ทั้งใน Facebook (เฟซบุ๊ค) ในไลน์ หรือช่องทางอินเตอร์เน็ท อันถือเป็นความสนุกสนานของ ชาวโลกออนไลน์ ความสนุกแบบนี้อาจกลายเป็นโทษได้ ถ้าเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ส่งผล ให้บุคคลที่เรานำภาพและเรื่องเขามาแชร์ เกิดความเสียหาย อันเป็นความผิด ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 16 ต้องรับโทษปรับไม่เกิน 60,000 และจำคุกไม่เกิน 3 ปี

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com
*********************************

 

7. ขาเมาท์ อย่าเอาแค่มัน (7 of 7)

การเม้าท์ กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนในสังคมถือว่า เป็นส่วนหนึ่งที่สร้างสีสันให้กับ วงสนทนาไปเสียแล้ว อันที่จริงการเม้าท์ที่ว่านี้สามารถทำได้ แม้จะไม่สมควร แต่เรื่องราวที่หยิบมาเม้าท์กันนั้น ก็ต้องมีข้อจำกัด แม้จะเป็นเรื่องพูดแค่ให้เกิด ความสนุก แต่ถ้าเรื่องนั้นได้รับการขยายออกไป จนกลายเป็นความเชื่อของผู้คน ในวงกว้าง อันจะนำไปสู่ความแตกตื่น เสียหาย ในภายหลัง แม้ผู้พูดอาจจะ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เห็นแก่ความสนุกสนาน แต่ก็ถือว่ามีความผิดตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 384 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com
*********************************

ทนายความกรุงเทพมหานคร

เวปไซต์สมาชิกพันธมิตรเครือข่ายทนายความ กรุงเทพมหานคร

1. ประธานเครือข่ายทนายความ          
https://www.ทนายภูวงษ์.com   

2. เครือข่ายทนายความ
https://www.ทนายกรุงเทพ.com                  

3. กรุงเทพมหานคร
https://www.ทนายศิรสิทธิ์.com

4. กรุงเทพมหานคร
https://www.ทนายเจมส์.com

5.ทนายลูกัส
https://www.สมาร์ทไทยลอว์เยอร์.com

ทนายความภาคกลาง

เวปไซต์สมาชิกพันธมิตรเครือข่ายทนายความ ภาคกลาง

1. จังหวัดลพบุรี
https://www.ทนายประดิษฐ์.com

2. จังหวัดลพบุรี
https://www.สำนักงานทนายความเฉลิมพล.com

3. จังหวัดสระบุรี
https://www.ทนายนิดสระบุรี.com

4. จังหวัดนนทบุรี
https://www.ทนายจอส.com

5. จังหวัดอุทัยธานี
https://www.ทนายรัชเดช.com

6. จังหวัดนครปฐม
https://www.ทนายอนันต์.com

7. จังหวัดสมุทรสาคร 
https://www.ทนายชีวารัตน์.com

8. จังหวัดพิษณุโลก
https://www.สำนักงานฟิวชั่นโฮมลอว์.com

9. จังหวัดนนทบุรี
https://www.ทนายจอส.com

10.จังหวัดนครสวรรค์
https://www.ทนายไพศาล.com

11. จังหวัดพิจิตร
https://www.ทนายธีรภัทร.com

12.จังหวัดสุพรรณบุรี 
https://www.ทนายจักรพันธ์.com

13.จังหวัดพิษณุโลก
https://www.ทนายเสกสรร.com

14. จังหวัดเพชรบูรณ์
https://www.ทนายธีรนาถ.com

15. จังหวัดสมุทรสาคร
https://www.ทนายวณิชชา.com

16. จังหวัดสุพรรณบุรี
https://www.ทนายสุพรรณบุรี.com

17. จังหวัดนครนายก
https://www.ทนายวัชรากรณ์.com

18. จังหวัดนครปฐม
https://www.ทนายอิ๋ว.com

ทนายความภาคเหนือ

เวปไซต์สมาชิกเครือข่ายทนายความ ภาคเหนือ

1. จังหวัดเชียงราย
https://www.ทนายแบงค์.com

2. จังหวัดน่าน
https://www.ทนายแขก.com

3. จังหวัดพะเยา
https://www.ทนายอรอนงค์.com

4.จังหวัดลำพูน
https://www.ทนายอธิปไตย.com

5. จังหวัดเชียงใหม่
https://www.ทนายอัษฎา.com

6. จังหวัดลำปาง
https://www.ทนายดาม.com

7. จังหวัดเชียงใหม่
https://www.ทนายเต้ยเชียงใหม่.com

8.จังหวัดแพร่
https://www.ทนายกชวรรณ.com

ทนายความภาคอีสาน

เวปไซต์สมาชิกเครือข่ายทนายความ ภาคอีสาน

1.จังหวัดสุรินทร์
https://www.ทนายครูองอาจ.com

2. จังหวัดเลย
https://www.ทนายขจรศักดิ์.com

3. จังหวัดสุรินทร์
https://www.ทนายสมรส.com

4. จังหวัดร้อยเอ็ด
https://www.ทนายพชรร้อยเอ็ด.com

5. จังหวัดอุบลราชธานี
https://www.ทนายตั้มอุบลราชธานี.com

6. จังหวัดอำนาจเจริญ
https://www.ทนายพิศาล.com

7. จังหวัดขอนแก่น
https://www.ทนายศิรประภา.com

8. จังหวัดศรีสะเกษ
https://www.ทนายโตน.com

9. จังหวัดนครราชสีมา
https://www.ทนายวรภาดา.com

10. จังหวัดนครราชสีมา
https://www.ทนายนิติรัตน์.com

11. จังหวัดอุดรธานี
https://www.ทนายนิธิวัฒน์.com

12. จังหวัดนครราชสีมา
https://www.ทนายพลัฎฐ์.com

13. จังหวัดศรีสะเกษ 
https://www.ทนายเตชทัต.com

14. จังหวัดอุบลราชธานี
https://www.ทนายพิชิตชัย.com

15. จังหวัดสกลนคร  
https://www.ทนายวีระพงษ์.com

16. จังหวัดเลย(ทนายบอล)
https://www.ทนายเมืองเลย.com

17. จังหวัดอุบลราชธานี
https://www.ทนายสุพรรณ.com

18. จังหวัดสกลนคร
https://www.ทนายสุวิทย์.com
19. จังหวัดอุบลราชธานี

https://www.ทนายเกษม.com

20. จังหวัดสุรินทร์
https://www.ทนายพิพัฒน์.com

21. จังหวัดอุดรธานี
https://www.ทนายสุพิน.com

22. จังหวัดนครราชสีมา (สีคิ้ว)
https://www.ทนายอนุชา.com

ทนายความภาคใต้

เวปไซต์สมาชิกพันธมิตรเครือข่ายทนายความ ภาคใต้

1. จังหวัดนครศรีธรรมราช
https://www.ทนายคดีครอบครัว.com

2. จังหวัดนครศรีธรรมราช
https://www.ทนายจิราภรณ์.com

3. จังหวัดสงขลา
https://www.ทนายเป็นต่อ.com

4. จังหวัดนราธิวาส
https://www.ทนายธนกร.com

5. จังหวัดภูเก็ต
https://www.Lawyerkung.com      

6. จังหวัดสงขลา
https://www.ทนายบุญวัฒน์.com                

7. จังหวัดสุราษฎร์ธานี
https://www.ทนายเอกทนายคุ้มครองสิทธิ์.com

8. จังหวัดปัตตานี
https://www.ทนายชนัญธิดา.com

9. จังหวัดสงขลา
https://www.Okaylawyer.com

ทนายความภาคตะวันออก

เวปไซต์สมาชิกพันธมิตรเครือข่ายทนายความ ภาคตะวันออก

1. จังหวัดปราจีนบุรี
https://www.ทนายกอบธนัช.com

2. จังหวัดปราจีนบุรี
https://www.ทนายโชคปราจีนบุรี.com

3. จังหวัดจันทบุรี
https://www.ทนายอุลิช.com

4. จังหวัดฉะเชิงเทรา
https://www.ทนายสุมาลี.com

ทนายความภาคตะวันตก

เวปไซต์สมาชิกพันธมิตรเครือข่ายทนายความ ภาคตะวันตก

1. จังหวัดกาญจนบุรี
https://www.ทนายภู่.com

2. จังหวัดกาญจนบุรี
https://www.ทนายเสือ.com

3. จังหวัดราชบุรี
https://www.ทนายโจ้.com